นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และผลตอบแทนที่ลดลง ทำให้การเติบโตของธุรกิจค่อนข้างมีข้อจำกัดมากในปัจจุบัน ทำให้ KTC ต้องมองหาโอกาสในการต่อยอดจากธุรกิจเดิมโดยมองหาตลาดใหม่และการนำทรัพยากรของบริษัมาใช้ เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้กับธุรกิจ จึงเกิดธุรกิจใหม่"สินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม" สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถจักรยานยนต์
โดยบริษัทได้เห็นถึงตลาดที่ยังมีโอกาสให้ขยายเข้าไปจึงเกิดความสนใจและเริ่มศึกษาโมเดลธุรกิจสินเชื่อจำนำทะเบียนรถและรถจักรยานยนต์ ซึ่งได้เริ่มให้บริการอย่างไม่เป็นทางการมาตั้งแต่ช่วงเดือนส.ค.ที่ผ่านมา และเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันถือว่ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการขอสินเชื่อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3 คัน/วัน จากช่วงแรกที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการขอสินเชื่อเพียง 1 คัน/วัน ซึ่งคาดว่าในช่วงแรกการขยายตัวของ "สินเชื่อ KTC พี่เบิ้ม" คาดว่าจะเป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดด เพราะเป็นช่วงแรกที่เริ่มเข้ามาในตลาด ซึ่งบริษัทจะต้องมองหาแนวทางเพิ่มเติมในการขยายฐานลูกค้าใหม่ เพื่อสร้างฐานลูกค้าให้มากขึ้น และทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
นายระเฑียร กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ มาจากการที่บริษัทได้มองหาโอกาสทางธุรกิจที่จะเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์กับโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงฉับไว จึงได้สร้างทีมเล็กๆ ขึ้นมาทำงานในลักษณะเดียวกับสตาร์ทอัพ โดยรวมตัวคน 6 คนจากหน่วยงานหลักต่างๆ ของบริษัท ตามแผนกลยุทธ์การเป็นองค์กรคล่องตัว (Agile Organization) ด้วยเป้าหมายเพื่อสร้างสรรค์ทางเลือกใหม่ของสินเชื่อเป็นทางออกให้กับคนไทยสู้ชีวิตที่อยากเติมเต็มความฝัน ความต้องการ และมีทรัพย์สินรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ที่ปลอดภาระเป็นของตนเอง แต่ขาดโอกาสด้านการเงิน ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกต้องได้ ซึ่งมีสัดส่วนจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย ขณะที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทยังคงมีต่อเนื่อง โดยการวาง Positioning ของบริษัทเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Payment แต่สิ่งที่สำคัญในการผลักดันการนำเสนอผลิตภัณฑ์บริการใหม่ ๆ ออกมาให้กับลูกค้านั้น สิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ คือ การลงทุนด้านทรัพยากรบุคคล โดยเฉพาะการฝึกอบรมทรัพยากรบุคคลซึ่งอยู่ในองค์กร ให้มีศักยภาพและความสามารถเพิ่มขึ้น แล้วนำศักยภาพความสามารถนั้นมาช่วยผลักดันบริษัท ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้ส่งคนในองค์กรไปเทรนนิ่งกับบริษัทชั้นนำระดับโลก เพื่อเพิ่มทักษะและความสามารถ นำสิ่งที่ได้เรียนรู้มาสนับสนุนการทำงานให้กับบริษัท พร้อมเปิดโอกาสให้พนักงานของบริษัทแสดงความคิดเห็น สามารถลองผิดลองถูกในการทำงานได้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้จริง ขณะเดียวกันวัฒนธรรมองค์กรของ KTC ยังเน้นให้พนักงานทุกคนสามัคคีกันในการทำงานร่วมกัน เพื่อร่วมกันสร้างและขับเคลื่อนองค์กรไปพร้อมกัน พร้อมกับการสร้างพนักงานทุกคนตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน เพื่อให้เกิดการตระหนักถึงสิ่งที่ดี ๆ ในการทำงานและการอยู่ร่วมกันในสังคมเสมอ ทำให้ KTC สามารถสร้างคนดีขึ้นมาในสังคมได้ เพราะเชื่อว่าการทำงานร่วมกับคนดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ และยังเชื่อว่าสุดท้ายแล้ว คน คือ หัวใจสำคัญที่สุดในการผลักดันทุกอย่างขององค์กรทำให้ KTC ไม่ละทิ้งการพัฒนาบุคลากรในองค์กรให้มีความสามารถเพิ่มขึ้น