นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จการขายบ้านหรูในโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ในช่วงเดือนพฤษภาคม-กันยายน ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 1,450 ล้านบาท ทำให้ยอดขายสะสมของโครงการรวม อยู่ที่ราว 35% แม้วิกฤติโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม แต่สำหรับตลาดบ้านหรูระดับอัลตร้าลักชัวรี ยังคงมีความต้องการอยู่ เพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้อสูง
"การขายบ้านในราคาระดับอัลตร้าลักชัวรีมูลค่า 1,450 ล้านบาท ในช่วงเวลาเพียง 5 เดือนนั้น เป็นการตอกย้ำและแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจของลูกค้าในแบรนด์ของสิงห์ เอสเตท ที่ใส่ใจและมุ่งเน้นการสร้างคุณภาพชีวิต ที่ดีให้กับลูกบ้าน ผ่าน 3 แนวคิด Smart Living, Healthy Living และ Sustainable Living ที่ลงลึกในทุกรายละเอียด ใส่ใจในทุก ๆ ขั้นตอนของการใช้ชีวิต เลือกสรรสิ่งที่ดีและมีคุณค่าที่สุด เพื่อพัฒนาและส่งมอบคุณภาพโครงการใน ระดับ Best in Class ให้กับลูกบ้านทุกคน ที่สำคัญให้ความใส่ใจกับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของชุมชนโดยรอบอีกด้วย"นายนริศ กล่าว
โครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ถือเป็นโครงการระดับมาสเตอร์พีซ หรือโครงการเรือธงที่เป็นแนวราบ โครงการแรกของบริษัท มีมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ถือว่าเป็นโครงการที่เอ็กซ์คลูซีฟที่สุดเมื่อเทียบกับโครงการระดับเดียวกัน โดยเนื้อที่โครงการกว่า 45 ไร่ ถูกแบ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางถึง 15 ไร่ และเป็นพื้นที่อยู่อาศัย 25 ไร่ แบ่งเป็นแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น และ 3 ชั้น ตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง กับสังคมคุณภาพ ที่มีความเป็นส่วนตัว และยังตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ บนถนนประดิษฐ์มนูธรรม
ทั้งนี้ ในส่วนของการรับรู้รายได้จากยอดขาย 1,450 ล้านบาทนั้น บริษัทจะแบ่งการรับรู้เป็น 2 ส่วน ได้แก่ รายได้ จากการก่อสร้างบ้าน ซึ่งจะทยอยรับรู้ตลอดระยะเวลาก่อสร้างประมาณ 14 เดือน ตามความคืบหน้าของงาน และ รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ได้ภายในปีนี้ทั้งจำนวน มูลค่าราว 860 ล้านบาท ส่งผลให้เมื่อนำมูลค่า ของ Backlog ที่รอการรับรู้ของปีนี้ รวมกับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยช่วง 6 เดือนแรกของปี จะสูงกว่าเป้าโอนกรรมสิทธิ์ทั้งปี 63 ของบริษัท ที่ตั้งไว้ราว 5,000-6,000 ล้านบาท บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจได้ตามเป้าในปีนี้ที่ราว 9,000 ล้านบาท