บมจ.แม็คกรุ๊ป (MC) กางแผนธุรกิจปี 64 รุกสร้าง New S-Curve ขยายฐานลูกค้าเป้าหมายเจาะกลุ่มผู้หญิง, มิลลิเนียล และคนเมือง เน้น Customer Centric พัฒนาสินค้าตอบโจทย์ความต้องการ-สอดรับไลฟ์สไตล์ พร้อมอัดกลยุทธ์สื่อสารการตลาดแบบส่งตรงเฉพาะกลุ่ม ตั้งเป้าผลักดันรายได้งวดปี 63/64 เติบโต 10-12% พร้อมรักษาอัตรากำไรสุทธิในระดับ 14-16% ตอกย้ำการเป็นหุ้นเติบโต-ปันผลสูง (High Dividend) หลังจากจ่ายปันผลมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เข้าตลาดหลักทรัพย์
นางชนัญญารักษ์ เพ็ชร์รัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ MC กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 63/64 (ก.ค.63-มิ.ย.64) มุ่งเน้นขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น โดยวางกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าผู้หญิง ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ราว 40-50% ด้วยการขยายประเภทสินค้า และมีดีไซน์ที่หลากหลาย รวมไปถึงการสร้าง "Product Hero" ผ่านความร่วมมือระหว่างแบรนด์ (Brand Collaboration) มากขึ้น
นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการเชื่อมต่อออฟไลน์-ออนไลน์ (Seamless O2O) สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภค (Customer Experience) รวมถึงให้ความสำคัญกับช่องทางการขาย Omni-Channel ที่ผลักดันศักยภาพของพนักงานขายให้สามารถขายทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและกลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางการขายที่แข็งแรง ทำให้ยอดขายออนไลน์เติบโตก้าวกระโดดกว่า 61% ในงวดปี 62/63 และยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง ซึ่งมุ่งเป้าเติบโต 15%
สำหรับกลุ่มมิลลิเนียล เตรียม Collaboration กับพันธมิตรที่มิลเลนเนียลชื่นชอบและติดตาม เพื่อพัฒนาสินค้าร่วมกัน เน้นสื่อสารการตลาดผ่านช่องทางโซเซียลมีเดียด้วย Influencer และสำหรับกลุ่มคนเมือง อยู่ระหว่างการเจรจาจับมือพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partnership) ขยายกลุ่มสินค้าที่ไม่ใช่เครื่องแต่งกาย พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับสินค้า รองรับไลฟ์สไตล์ที่มีความหลากหลาย และปรับโฉมร้านออฟไลน์ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ (New Concept Store) รวมกว่า 20 จุดขายทั่วประเทศ ภายในสิ้นเดือนธันวาคม 2563
ด้าน Supply Chain บริษัทได้นำ Big Data และ AI เข้ามาปรับใช้ ซึ่งช่วยให้การบริหารจัดการต้นทุนและการกระจายสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น และการที่บริษัทมีสภาพคล่องสูงและไม่มีหนี้ รวมถึงมีพื้นฐานการบริหารจัดการองค์กรที่ดี มีกลยุทธ์ที่ชัดเจน จึงพร้อมลงทุนต่อยอดการเติบโตทันทีเมื่อเห็นโอกาส
นางชนัญญารักษ์ กล่าวว่า บริษัทเตรียมงบลงทุนไว้ประมาณ 400 ล้านบาทรองรับการขยายธุรกิจ แบ่งเป็นการก่อสร้างคลังสินค้าใหม่ 300 ล้านบาท และการซื้อหรือควบรวมกิจการ (M&A) จำนวน 100 ล้านบาท โดยบริษัทมีที่ดินอยู่ 7 ไร่ ครึ่งหนึ่งจะใช้รองรับการก่อสร้างคลังสินค้าใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ประหยัดต้นทุนค่าเช่ากว่า 20 ล้านบาท/ปี และคาดว่าจะคืนทุนได้ภายใน 5-8 ปี ส่วนพื้นที่อีกครึ่งหนึ่งจะปล่อยให้ลูกค้าที่พันธมิตรเข้ามาเช่าเพื่อสร้างรายได้ประจำ โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้ประจำเฉลี่ยที่ 15%
ส่วนการทำดีล M&A ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 2-3 รายในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ซึ่งจะเข้ามาเสริมความแข็งแกร่งทางด้านช่องทางการขายออนไลน์ เบื้องต้นคาดว่าจะสรุปความชัดเจนภายในปี 64 โดยมูลค่า M&A ในครั้งนี้ประมาณ 100 ล้านบาท
"ทั้งสองอย่างที่เราเตรียมลงทุนในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะเป็นการต่อยอดความเข้มแข็งด้านธุรกิจการขายสินค้าผ่านระบบออนไลน์เป็นหลัก และเป็นการบริหารจัดการต้นทุนที่ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งในอนาคตเราจะมีส่วนของการจำหน่ายสินค้าออนไลน์เป็นอีก 1 ช่องทางในการสนับสนุนการเติบโตของบริษัท"นางชนัญญารักษ์ กล่าว