IPO_INSIGHT PRAPAT เสริมฐานแกร่งเตรียมบุกหนักตลาด AEC ชูกลุ่ม Food Service ดันฟื้นโตพุ่ง,โบรกฯให้เป้า 1.84-2.10 บ.

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday September 18, 2020 09:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสืบพงศ์ เกตุนุติ รองประธานกรรมการบริษัท ในฐานะผู้ก่อตั้ง บมจ.พีรพัฒน์ เทคโนโลยี (PRAPAT) วางเป้าเข้าเป็นน้องใหม่ในตลาดหุ้นใน ต.ค.นี้ เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้านฐานทุนและด้านการปฏิบัติการให้แข็งแกร่งเพียงพอรองรับการบุกขยายตลาดจาก CLMV ยกระดับสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ดันสัดส่วนยอดขายต่างประเทศพุ่งเป็น 30% ภายใน 5 ปี พร้อมขยายบริการลูกค้ากลุ่ม Food Industry และ Food Service มองโอกาสเติบโตสูงในยุค New Normal มั่นใจจะช่วยผลักดันผลงานปีหน้าฟื้นโตพุ่งหลังโควิดทำสะดุดไปในปีนี้

"วันนี้เราเป็นผู้นำด้าน Cleaning และ Hygiene อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่ชัดเท่าไหร่ เมื่อเราเข้าตลาดหุ้นนำเงินมามาปรับฐานทุน ระบบซอฟท์แวร์ คลังสินค้า โลจิสติกส์ เราก็จะพร้อมมากขึ้น เพราะช่องทางการจัดจำหน่ายเราสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่จะทำให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น เพราะระยะหลังแข่งขันที่ระบบโลจิสติกส์ ฉะนั้นตรงนี้ทำให้ฐานดีขึ้น ต้นทุนเราลดลง คนก็จะลดลงด้วย เราก็พร้อมก้าวต่อไป เราไม่ได้มองแค่ประเทศไทย แต่มองการขยายใน CLMV ที่เป็นผู้นำอยู่ และจะก้าวต่อไปเป็นผู้นำในระดับ AEC ภายใน 5 ปี ต้องไปถึง"นายสืบพงศ์ กล่าว

นายสืบพงศ์ เปิดเผยว่า บริษัทส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในตลาด CLMV แบบค่อยเป็นค่อยไปมาแล้วกว่า 20 ปี จนถึงวันนี้มีระบบตัวแทนจำหน่ายที่เข้มแข็ง จากนี้ไปก็จะมีการเปลี่ยนระบบจัดจำหน่ายให้มั่นคงมากขึ้น อาจจะเปลี่ยนจากตัวแทนจำหน่ายเป็นการตั้งสาขาหรือร่วมทุนตั้งบริษัทจัดจำหน่าย ซึ่งตัวแทนที่มีอยู่ก็ยินดี เพราะจะทำให้บริษัทสามารถส่งพนักงานไปร่วมบริหาร ไปทำเทรนนิ่งต่างๆ เนื่องจากบริษัทจะมีการนำเสนอสินค้าและบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการเติบโตของตลาด CLMV ที่ยังมีโอกาสอีกมาก

"เขาไม่รู้ธุรกิจนี้มาก่อน นี่คือหัวใจ เราไป เราไปสอน ไป educate ไปทำ Training เพราะ growth ของเขามากกว่าเรา อย่างเวียดนาม การลงทุนโตมาก อีก 5 ปีด้านอุตสาหกรรมคงแซงประเทศไทย แม้ว่าท่องเที่ยวจะยังตามเราอยู่ การขยายงานจึงเป็นโอกาสที่ดี"นายสืบพงศ์ กล่าว

PRAPAT เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 100 ล้านหุ้น และจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมี บริษัท แอสเซท โปร แมเนจเม้นท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปลงทุนในระบบบัญชีและระบบควบคุมการผลิต 50 ล้านบาท, สร้างคลังสินค้า 72 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

บริษัทและบริษัทย่อยประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำยาซักรีด น้ำยาทำความสะอาดและฆ่าเชื้อสำหรับภาคอุตสาหกรรม นำเข้าเพื่อจำหน่ายและให้เช่าเครื่องล้างภาชนะอัตโนมัติ นำเข้าและจำหน่ายสระว่ายน้ำสำเร็จรูป และอุปกรณ์ที่ใช้ในสระว่ายน้ำ รวมทั้งให้บริการแบบครบวงจรเกี่ยวกับน้ำยาทำความสะอาดและฆ่าเชื้อสำหรับภาคอุตสาหกรรม (Hygiene Cleaning Solution) ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตน้ำยา ตั้งอยู่ที่ตำบลทับคาง อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี

นายสืบพงศ์ กล่าวว่า แผนงานขยายตลาด AEC นั้น เป้าหมายหลัก คือ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งบริษัทได้มีการเจรจาและทำบันทึกข้อตกลง (MOU) กับตัวแทนในอินโดนีเซียตั้งแต่ปีที่แล้ว และเตรียมเซ็นสัญญาก่อนเริ่มส่งสินค้าไปจำหน่ายในเดือน ก.พ.63 แต่มาเจอกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เสียก่อน ดังนั้นเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงแล้วก็จะกลับมาเดินหน้าในเรื่องดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยมองว่าอินโดนีเซียเป็นตลาดขนาดใหญ่จำนวนประชากรมาก แต่จำนวนห้องของโรงแรมยังน้อยกกว่าไทย การท่องเที่ยวยังตามหลังเราอยู่

ปัจจุบันยอดขายจากต่างประเทศยังมีสัดส่วนเพียง 10% แต่จากนี้จะเติบโตได้ดีขึ้น หลังจากบริษัทมีฐานทุนที่ดีขึ้น ก็จะสามารถรองรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้นด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาค่าเงินของประเทศเพื่อนบ้านรอบประเทศไทยอ่อนค่าลงปีละ 10% ขณะที่เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากขยายการส่งออกมากก็อาจมีผลกระทบกับตัวเลขในบัญชี แต่เมื่อฐานทุนเข้มแข็งขึ้น เราก็พร้อมจะโหมทำตลาดให้หนักขึ้น โดยวางเป้าหมายจะขึ้นเป็นผู้นำในตลาด AEC และสัดส่วนยอดขายจะเพิ่มเป็น 30% ภายในไม่เกิน 5 ปีข้างหน้า

"ด้วยลักษณะของตลาด สัดส่วนยอดขายจากการส่งออกคงไม่เกิน 30% ภายในไม่เกิน 5 ปี ถ้าเราโหมจริง ๆ โกดัง ออฟฟิศ ตัวแทนที่มีลักษณะ 2 คูหายังไม่พร้อม เพราะต้นทุนโลจิสติกส์จะสูง เราอาจจะต้องไปร่วมทำโกดังใหญ่ขึ้นและกระจายทั่วประเทศ อย่าง เวียดนาม จากฮานอยถึงโฮจิมินห์ยาวมาก ต้องใช้โลจิสติกส์มโหฬาร เราต้องไปจัดการอะไรประเภทนี้ เราเห็นภาพสิ่งที่เรายังไม่ได้ทำ"นายสืบพงศ์ กล่าว

ส่วนตลาดในประเทศ ขณะนี้เป็นการขายผ่านตัวแทนจำหน่ายเป็นหลัก โดยมีตัวแทนอยู่ราว 30 ราย ครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศอยู่แล้ว แต่อาจจะเพิ่มตัวแทนขายสินค้าเฉพาะทาง (Specialized) เพื่อรองรับแผนงานที่บริษัทจะขยายสินค้าพ่วงบริการที่เป็นนวัตกรรมใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่เป็น Food Service และ Hospitality Industry ซึ่งจะเน้นนำเสนอบริการที่ใช้เครื่องจักรทดแทนแรงงานคนที่ขาดแคลน

"สินค้าเราเป็น dynamic ตัว Cleaning ทั้งตัวน้ำยา เครื่องจักร วิธีการทำงาน ทุกปีต้องมีอะไรใหม่ เราอยู่ใน scope ของ tourist อยู่ใน scope ของ food industry แต่ในนั้นเปลี่ยนตลอด เราต้องควานหาอะไรใหม่ ๆ อย่างเช่นเครื่องจักรทำความสะอาด จากแต่ก่อนใช้คน แต่ตอนนี้รุ่นใหม่กวาดถูตัวเดียวกัน แต่มันก็ยังไม่ทัน คนนึงได้ทำได้วันละ 100 ตร.ม. แต่ตอนนี้เครื่องได้ชั่วโมงละ 3-4 พัน ตร.ม. แทนคนได้ 10 คน แรงงานคนเดิมจะไปทำอะไรเราต้องช่วยเขาคิด ส่วนเครื่องก็ต้องใช้คนดูแลมืออาชีพ เราก็ต้องเข้าไปช่วย"นายสืบพงศ์ กล่าว

สินค้านวัตกรรมจะเข้ามาอีกมาก โดยเฉพาะที่เป็นระบบหุ่นยนต์ที่สามารถใช้ในโรงงาน ร้านอาหาร โรงพยาบาล ซึ่งในยุค New Normal สิ่งที่จะคงอยู่คือความรู้สึกในด้านจิตสำนึกที่จะให้ความสำคัญกับสุขอนามัยเพิ่มเติม เช่น ล้างจานต้องสะอาดขึ้น ขณะนี้โรงเรียน สถานศึกษา นี้ติดตั้งเครื่องล้างจานเพิ่มขึ้นมาก และบริษัทยังเตรียมนำสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาขายพิ่มเติม ได้แก่ หุ่นยนต์ที่สามารถสแกนหน้าคนเพื่อวัดอุณหภูมิในรัศมี 10 เมตร และตรวจสอบว่าใครใส่หน้ากากหรือไม่ สุดท้ายจะฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อให้กับแต่ละคน

"เซอร์วิสที่เราจะก้าวต่อไปต้องใช้เงินจำนวนมากแต่กำไรดี ต้องลงทุนเครื่องจักร เพราะลูกค้าไม่มั่นใจว่าซื้อแล้วจะใช้เป็นหรือไม่ จะซ่อมเป็นหรือไม่ มีโมเดลใหม่จะเปลี่ยนรุ่นอย่างไร ซึ่งเป็นโอกาสงานบริการของเรา"นายสืบพงศ์ กล่าว
รองประธานกรรมการ PRAPAT กล่าวอีกว่า แผนงานดังกล่าวของบริษัทจะช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคต หลังจากที่สถานการณ์โควิดส่งผลกระทบต่อลูกค้าหลักในกลุ่มโรงแรมและท่องเที่ยว แต่เมื่อบริษัทหันมาเน้นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารที่แทบไม่ได้รับผลกระทบ ทำให้ยอดขายตกลงไม่มากนัก จากที่ยอดขายตกลงมากไปในเดือน เม.ย. แต่พอเดือน พ.ค.-ก.ค.ฟื้นกลับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เดือน ส.ค. กลับมาที่ 80% ของช่วงก่อนโควิดแล้ว และคาดว่าเดือน ก.ย.จะเพิ่มมาที่ 90%

"ตอนนี้เรากระจายความเสี่ยงมาที่ Food Industry เกือบ 50% แล้ว ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด และยังมีตัวใหม่คือ Food Service เป็นอีกแขนงหนึ่ง ตลาดตรงนี้โตเร็วมาก ฟาสต์ฟู้ด ร้านอาหารต่าง ๆ ร้านกาแฟ ร้านเบเกอรี่ โตเกือบเท่า Food Industry แล้ว เป็น segment ไปได้เร็วมาก โดยเฉพาะเครื่องล้างจาน

ในภาพรวมกระทบแต่ไม่ได้หายไปทั้งหมด ปีนี้คงตกไปบ้าง แต่ปีหน้าเราหวังอย่างยิ่งกว่าจะแซงปี 62 ขึ้นอยู่กับว่าวัคซีนจะมาไตรมาสไหน ถ้ามาไตรมาส 1 โอ้โหแฮปปี้เลย แต่ถ้ามาไตรมาส 2 หายไปครึ่งปี ตัวนี้ยังตอบไม่ได้ แต่เราก็ drive ทุกตัวเต็มที่"นายสืบพงศ์ กล่าว

*โบรกฯ ให้ราคาเป้าหมาย PRAPAT ในปี 64 ที่ 1.84-2.10 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดจำหน่ายและผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น PRAPAT ได้ออกบทวิเคราะห์และให้ราคาเป้าหมายราคาหุ้นในปี 64 ดังนี้

          โบรกเกอร์                        ราคาเป้าหมาย (ปี 64)
          โนมูระ พัฒนสิน                         1.90
          ยูโอบี เคย์เฮียน                        1.88
          ทรีนีตี้                                2.10
          ฟิลลิป                                2.02
          เคทีบี                                2.00
          โกลเบล็ก                             1.84
          ฟินันเซียไซรัส                          1.85

บทวิเคราะห์ของ บล.โนมูระพัฒนสิน ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ PRAPAT ปี 2564F ที่ 1.90 บาท/หุ้น ด้วย PE 18 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ย PE ในอดีตของ 7 บริษัทที่อยู่ในธุรกิจเคมีภัณฑ์ในตลาด mai ได้แก่ COLOR, MGT, SALEE, SELIC, SWC, UBIS,UKEM โดย PRAPAT เป็นผู้นำด้านสารทำความสะอาดและน้ำยาฆ่าเชื้อที่ใช้ในอุตสาหกรรมการให้บริการและอุตสาหกรรมผลิตอาหารและเครื่องดื่มของไทย โดยตลาดในรูปแบบ B2B ซึ่งมีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่ การทำความสะอาดไลน์การผลิต ซักรีด ล้างจาน ทำความสะอาดพื้น ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ และเครื่องทำน้ำร้อนประหยัดพลังงาน

ทั้งนี้ PRAPAT มีความชำนาญในการดำเนินงานธุรกิจนานกว่า 32 ปี นอกจากนี้บริษัทยังมีฐานลูกค้าครอบคลุมหลากหลายธุรกิจ มองว่าจะช่วยลดผลกระทบของโควิด-19 ต่อผลประกอบการของบริษัท และมีรายได้ในปี 61-62 เฉลี่ยราว 12% เป็นรายได้ประจำ(Recurring revenue)จากบริการให้เช่าเครื่องล้างจาน มองว่าจะเป็นตัวช่วยลดความเสี่ยงจากการเหวี่ยงของรายได้

ขณะที่ บล.ฟินันเซีย ไซรัส คาดว่า กำไรสุทธิของ PRAPAT ในปี 63 อยู่ที่ 17 ล้านบาท ชะลอตัว 62% Y-Y ถูกกดดันจากรายได้รวมที่คาด -18% Y-Y อยู่ที่ 811 ล้านบาท โดยรายได้ปรับลงเกือบทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักรีดที่เกี่ยวข้องกับโรงแรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากโควิด-19 อย่างไรก็ดี ประเมินว่ามีเพียงรายได้การขายผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ และครัวเรือนที่ขยายตัวได้ +6% Y-Y และ +10% Y-Y ตามลำดับ ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดปรับขึ้นเป็น 45.3% จาก 44.7% ในปี 62 ตามสัดส่วนรายได้หลักมาจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อที่มีมาร์จิ้นสูง เนื่องจากใช้วัตถุดิบที่บริษัทผลิตเอง

ทั้งนี้ กำไร 6 เดือนแรกของปี 63 คิดเป็น 64.5% ของประมาณการทั้งปี ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีหลังคาดอ่อนลง H-H และ Y-Y จากสถานการณ์โควิดที่ยังยืดเยื้อ แต่ในปี 64 คาดว่ากำไรสุทธิจะฟื้นตัว 103% Y-Y ที่ 35 ล้านบาท จากรายได้รวมที่ขยายตัว 14% Y-Y เป็น 927 ล้านบาท หนุนจากยอดขายของกลุ่มผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อและครัวเรือนที่เร่งขึ้นต่อเนื่อง รวมถึงการฟื้นตัวของกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับโรงแรม และร้านอาหาร นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นรวมคาดปรับขึ้นเป็น 46.1% จาก 45.3% ในปี 63 จากการเน้นขายผลิตภัณฑ์ที่บริษัทผลิตวัตถุดิบเอง รวมถึงไม่มีการยกเว้นค่าเช่าให้แก่ลูกค้าเหมือนในไตรมาส 2/63

อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงที่ต้องติดตาม และมีผลต่อประมาณการคือ การแพร่ระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความต้องการผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีหลายกลุ่มเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โดยเฉพาะโรงแรม และร้านอาหาร

บทวิเคราะห์ บล.ทรีนีตี้ คาดว่าผลการดำเนินงาน PRAPAT จะเติบโตต่อเนื่อง ประมาณการรายได้เติบโตในปี 63 ถึง 65 เฉลี่ย 14.1% ต่อปี จากปีนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นฐานต่ำ และคาดในปีหน้าสถานการณ์จะค่อยๆดีขึ้น ประกอบการการลงทุนในระบบ ERP ช่วยควบคุมต้นทุน คาดอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ราว 46% ต่อปี และประมาณการกำไรสุทธิปี 63-65 เติบโตสูง (CAGR) เฉลี่ย 91.6% ต่อปี

https://youtu.be/AtUNIm2fmOw


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ