นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการสายงานตลาดทุน บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิมทุนของบมจ. สยามราชธานี (SO) ผู้ประกอบธุรกิจการจ้างเหมาบริการครบวงจรชั้นนำระดับประเทศ เปิดเผยว่า หลังจากสำรวจความต้องการซื้อหุ้น (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 1 ต.ค. 2563 โดยพบว่ามีนักลงทุนสถาบันแสดงความต้องการซื้อเกินกว่าจำนวนหุ้นที่เสนอขาย ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพธุรกิจและแนวโน้มการเติบโตที่ดีในอนาคต ดังนั้นจึงได้กำหนดราคาขาย IPO ที่หุ้นละ 6.50 บาท และเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 85 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 27.42% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วภายหลัง IPO โดยกำหนดให้นักลงทุนจองซื้อระหว่างวันที่ 3 - 7 ต.ค. 63 ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คือ บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย อีก 4 ราย ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ ไอ วี โกลบอล จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด และ คาดว่า SO จะเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(SET) ภายในวันที่ 14 ต.ค. 63 นี้
สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ SO ที่ระดับราคา 6.50 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 16.7 เท่า คิดจากกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 12 เดือนย้อนหลัง ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับ SET Index ที่มี P/E Ratio อยู่ที่ 21 เท่า รวมทั้งแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่องยั่งยืนตามแนวโน้มการเติบโตที่ดีของธุรกิจ Outsource ซึ่งถือเป็นทางเลือกการบริหารจัดการลดต้นทุน ลดภาระและเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรของหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ กลุ่มลูกค้าหลักที่ SO ให้บริการอยู่ในปัจจุบัน
ปัจจุบัน SO มีทุนจดทะเบียน 310 ล้านบาท แบ่งออกเป็น 310 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์)หุ้นละ 1.00 บาท และมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาท หรือ 225 ล้านหุ้น ภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 310 ล้านบาท โดยเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป จำนวน 76.5 ล้านหุ้น โดยจะแบ่งให้กับสถาบันราว 30% ส่วนที่เหลือจะเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป และเสนอขายให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท จำนวนไม่เกิน 8.5 ล้านหุ้น ด้านวัตถุประสงค์การระดมทุน SO จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายกิจการเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต รวมทั้งนำไปชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน
ด้านนายจิรณุ กุลชนะรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SO เปิดเผยว่า การระดมทุนในครั้งนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวสู่อนาคตที่แข็งแกร่งเพื่อการพัฒนาและเจริญเติบโตขององค์กรอย่างยั่งยืน โดยบริษัทมีความพร้อมที่จะขยายธุรกิจ ทั้งในส่วนธุรกิจให้บริการจัดหาบุคลากรและธุรกิจให้เช่าและบริการ เช่น แผนเพิ่มจำนวนพนักงานที่ส่งไปปฏิบัติงานกับลูกค้าในธุรกิจจัดหาบุคลากร แผนขยายการลงทุนในธุรกิจบริการรถยนต์ให้เช่า รวมถึงบริษัทมีแผนพัฒนาโครงการพัฒนาด้านเทคโนโลยี (ระบบ Automation) เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วและความง่ายในการให้บริการลูกค้า และโครงการ HRM Solutions เพื่อให้บริการกับลูกค้าในส่วนงานทรัพยากรบุคคล เป็นต้น คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปี 64 -66
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักลูกค้าธุรกิจให้บริการจัดหาบุคลากร เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ Outsource ในอนาคต ได้แก่ หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทเอกชนที่อยู่ในหลากหลายประเภทธุรกิจครอบคลุม สถาบันการเงิน ประกันภัย โรงพยาบาล ยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อาหารและเครื่องดื่ม เหล็ก อสังหาริมทรัพย์ พลังงานและปิโตรเลียม และโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงการไฟฟ้าภูมิภาค และการประปาภูมิภาค เป็นต้น
บริษัทมีจุดแข็งที่ได้เปรียบเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจประเภทเดียวกันในเรื่องประสบการณ์บริหารและจัดการ Outsource มากว่า 40 ปี ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์คุณภาพและบริการหลากหลายครอบคลุม 2 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ 1.ธุรกิจให้บริการจัดหาบุคลากร 2.ธุรกิจให้เช่าและบริการ และได้สร้างการรับรู้ในแบรนด์ให้เป็นที่จดจำผ่าน 4 กลุ่มธุรกิจ คือ 1.SO People สำหรับการบริหารจัดการพนักงานขับรถยนต์ พนักงานสำนักงานและพนักงานช่างเทคนิค 2.SO Green สำหรับบริการดูแลภูมิทัศน์ 3.SO Wheel สำหรับบริการรถยนต์ให้เช่า และ 4.SO Next สำหรับการบริหารจัดการงานบันทึกข้อมูล พร้อมมองหาโอกาสขยายธุรกิจ โดยนำความต้องการของลูกค้ามาต่อยอดการให้บริการและขยายธุรกิจของบริษัทอย่างต่อเนื่อง จึงสามารถสนองความต้องการลูกค้าได้ตรงจุด และสามารถรักษาฐานลูกค้าเดิมได้ประมาณ 90% มีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นปีละไม่น้อยกว่า 12% ของรายได้ ทำให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ในทุกสถานการณ์เศรษฐกิจ
"ตลอดที่เราทำงาน 40 กว่าปี ไม่มีปีไหนที่ขาดทุน และบริษัทเติบโตมาเรื่อยๆ สิ่งที่เราทำทั้งหมด เราไม่ได้เข้าตลาดเพื่อที่จะออก เราจะทำให้เติบโตแบบก้าวกระโดดมากขึ้นไปอีก ซึ่งปี 64 เราคาดหวังรายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%"นายจิรณุ กล่าว