นายธีรภัทร์ เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) เปิดเผยว่า แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปี 63 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 45% สูงกว่าเป้าหมายที่ 40% และในปี 64 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 50% หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้บริษัทสามารถซื้อคอนเท้นท์มาบริหารและจัดจำหน่ายได้ในราคาที่คุ้มค่ามากขึ้น แม้ราคาขายอาจจะใกล้เคียงของเดิม แต่สัญญามีระยะเวลานานขึ้นจากปกติ 3 ปี เป็น 7 ปี ช่วยทำให้ค่าใช้จ่ายในการตัดจำหน่ายเฉลี่ยลดลงได้ค่อนข้างมากจากปกติ
ขณะที่การขายคอนเท้นท์ให้กับลูกค้าถือว่ายังได้ราคาที่ดีเช่นเดียวกัน ประกอบกับ ความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การผลิตและถ่ายทำคอนเท้นท์ต่าง ๆ ชะลอออกไป จึงหันมาซื้อลิขสิทธิ์สำเร็จรูปเพื่อนำไปออกอากาศแทนการผลิตรายการเอง เพื่อทดแทนรายการหรือละครใหม่ที่ยังไม่พร้อมออกอากาศ โดยเฉพาะลูกค้าหลักในปีนี้เป็นกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลในประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ยังคงเป็นการซื้อซีรีส์อินเดีย จีน ฮอลลีวู้ด และรายการสารคดี เพื่อนำมาออกอากาศทดแทน
นอกจากนี้ บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายลดลงเนื่องจากการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อทำการตลาด เจรจาการค้า และหาลูกค้าใหม่ในช่วงงานเทศกาลภาพยนตร์ และคอนเท้นท์ระดับโลกไม่สามารถทำได้ จากปกติที่มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ราว 20 ล้านบาท/ปี และยังไม่มีค่าใช้จ่ายในการจัดงาน JKN MEGA SHOWCASE ซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปีเพื่อโปรโมทผลงานของบริษัทที่ได้งดจัดในปีนี้ เปลี่ยนมาเป็นการจัดงาน JKN Spectacular Investment for life ในวันที่ 3 พ.ย.63 แทน เพื่อแสดงวิสัยทัศน์ของ JKN โดยเชิญพันธมิตรของบริษัท นักวิเคราะห์ และสื่อมวลชนมาร่วมรับฟัง ซึ่งมีค่าใช้จ่ายจัดงานลดลงเมื่อเทียบกับการจัดงานประจำปี
ส่วนด้านการขายคอนเท้นท์ให้กับลูกค้าต่างประเทศ หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกการขายได้ชะลอออกไป เพราะไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศเพื่อปิดสัญญาได้ แต่ในช่วงครึ่งปีหลังนี้บริษัทจะหันมานำเสนอการขายคอนเท้นท์ให้กับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศเดิมที่ซื้อคอนเท้นท์ของบริษัทอยู่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าในเอเชีย 11 ประเทศ เพื่อให้การขายยังไม่หยุดชะงักนาน และสามารถสร้างรายได้ให้กับบริษัทได้ พร้อมกับการเริ่มส่งสัญญาคอนเท้นท์ใหม่ให้กับกลุ่มลูกค้าใหม่ 5 ประเทศ ได้แก่ กลุ่มละตินอเมริกา ศรีลังกา บังกลาเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยจะมีรายได้จากกลุ่มลูกค้าใหม่เข้ามาในช่วงครึ่งปีหลังบางส่วน
สำหรับสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศของบริษัทยอมรับว่าในช่วงที่โควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย ทำให้การเดินทางไปต่างประเทศเพื่อเจรจาขายคอนเท้นท์กับลูกค้าชาวต่างชาติทำได้ลำบาก ส่งผลให้การเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศไม่สามารถทำได้เร็วนัก โดยเป้าหมายมีสัดส่วนรายได้ต่างประเทศระดับ 50% อาจจะต้องใช้เวลาอีก 3 ปี จากสิ้นปีนี้ที่คาดอยู่ระดับ 30-35% ของรายได้รวม
อย่างไรก็ตาม ด้านภาพรวมผลการดำเนินงาน คาดว่ารายได้ของบริษัทในปีนี้ยังคงทำได้ตามเป้าหมายที่ 2 พันล้านบาท แม้ว่าบริษัทได้ยืดระยะเวลาการชำระเงินค่าสัญญาคอนเท้นท์ให้กับลูกค้า เพื่อเป็นการช่วยเหลือในช่วงโควิด-19 และเป็นการรักษาฐานลูกค้า แต่ลูกค้ายังมีความสามารถในการจ่าย เพราะช่องทีวีดิจิทัลยังคงออกอากาศตามปกติ
ส่วนงบลงทุนซื้อคอนเท้นท์ในปี 63 บริษัทได้ใช้งบเกินจากช่วงปกติมาที่ 1.5-1.8 พันล้านบาท หลังจากเล็งเห็นความคุ้มค่าของการเข้าซื้อคอนเท้นท์ในช่วงนี้ ดังนั้น ในปี 64 บริษัทก็จะใช้งบลงทุนเพื่อซื้อคอนเท้นท์ลดลงมาที่ 1 พันล้านบาท เนื่องจากในปีนี้ได้ซื้อคอนเท้นท์มามากแล้ว
ขณะเดียวกัน บริษัทยังบริหารและควบคุมลูกหนี้คงค้างได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับทิศทางการเติบโตของรายได้ โดยมีลูกหนี้การค้าทั้งในและต่างประเทศทยอยชำระคืนหนี้คงค้างมาอย่างต่อเนื่อง
ด้านนายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ของ JKN กล่าวว่า ความคืบหน้าการย้ายหลักทรัพย์ JKN มาเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั้น ปัจจุบันบริษัทได้ยื่นไฟลิ่งแล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยเชื่อมั่นว่า JKN จะซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์ SET ได้ทันภายในต้นพ.ย. 63 ซึ่งเป็นโอกาสดีสำหรับนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนทั่วไปในการเข้ามาลงทุนในหลักทรัพย์ JKN ได้มากขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมนำบริษัทลูก คือ JKN LIVE เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในระยะต่อไป ซึ่ง JKN LIVE ทำธุรกิจให้บริการสตูดิโอ และให้บริการแสง สี เสียง ฉาก และเครื่องแต่งกายแบบครบวงจร มีลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และบริษัทได้เตรียมงบไว้รองรับการขยายธุรกิจของ JKN LIVE โดยการซื้อกิจการธุรกิจโปรดักส์ชั่นเฮ้าส์เข้ามาเพื่อขยายการเติบโตของ JKN LIVE รองรับการเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ในอนาคต
ขณะที่คอนเท้นท์ของ JKN ที่ผลิตเองนั้นได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้การถ่ายทำเรื่องสยามรามเกียรติ์ ต้องเลื่อนออกไปจากแผนเดิมจะเริ่มถ่ายทำปี 63 และออกอากาศต้นปี 64 เนื่องจากปัจจุบันทีมงานจากอินเดียยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้ ซึ่งหากสถานการ์โควิด-19 คลี่คลายและกลับมาเป็นปกติในปี 64 ก็จะกลับมาเริ่มถ่ายทำอีกครั้ง เพื่อออกอากาศในปี 65
สำหรับทิศทางดำเนินงานครึ่งปีหลัง บริษัทยังเดินหน้ารุกขยายตลาดต่างประเทศต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3/63 บริษัทสามารถจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเท้นท์อินเดียและฟิลิปปินส์ ให้แก่ มาเลเซียและกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มขึ้นรวมถึงทยอยส่งมอบคอนเท้นท์ซีรีส์ละครไทยจากช่อง 3 ให้แก่ TV5 ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้จัดรายการฟรีทีวีช่องหลักของประเทศฟิลิปปินส์ ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายปีนี้ บริษัทมีการขยายฐานลูกค้าใหม่เข้ามาเพิ่มเติมทั้งในกลุ่มประเทศแถบลาตินอเมริกา บรูไน ไต้หวัน ศรีลังกา บังคกาเทศ แอฟริกาใต้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และภูฏาณ ซึ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในปีนี้
"กลยุทธ์เติบโตของเราในช่วงครึ่งปีหลัง มาจากการรุกขยายฐานลูกค้ารายใหม่ ๆ ในตลาดต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยผลักดันผลงานของ JKN ในปีนี้ให้เติบโต 10-15% โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งสอดคล้องยุทธศาสตร์การดำเนินงานของ JKN ที่ต้องการมีสัดส่วนรายได้จากตลาดต่างประเทศเพิ่มเป็น 50% ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า และผลักดันให้ JKN ก้าวสู่การเป็นบริษัท Global Company ที่สร้างสรรค์ประสบการณ์จากคอนเทนต์ที่หลากหลายระดับโลกเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน"นายจักรพงษ์ กล่าว