หุ้น TU ราคาวิ่งขึ้น 2.84% มาอยู่ที่ 14.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.40 บาท มูลค่าซื้อขาย 169.28 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.18 น. โดยเปิดตลาดที่ 14.40 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 14.50 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 14.20 บาท
เช้านี้ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) แจ้งว่าที่ประชุมคณะกรรมการบริหารมีมติอนุมัติให้บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ร่วมทุนกับบริษัท เบฟเทค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ บมจ.ไทยเบฟเวอเรจ จัดตั้งบริษัท ฟู้ด แอนด์ เบฟเวอเรจ ยูไนเต็ด จำกัด เพื่อร่วมมือพัฒนาสินค้า ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหาร และเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ โดยบริษัท เบฟเทค จำกัด ถือหุ้น 50.9999% และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน อินกรีเดียนท์ จำกัด ถือหุ้น 49%
ขณะที่ บล.ทรีนิตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คาดว่ากำไรสุทธิของ TU ใน Q3/63 ที่ 1,749 ล้านบาท ดีขึ้น 2%QoQ และ 27%YoY โดยคาดยอดขายรวมจะเติบโตขึ้นราว 2%QoQ เนื่องจากการเปิดเมืองในสหรัฐฯ ทำให้ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งในส่วน Food Service ฟื้นตัว ขณะที่ยอดขายอาหารทะเลกระป๋องที่ได้รับอานิสงส์ในช่วงปิดเมือง แม้อาจมียอดขายลดลงบ้าง แต่ยังเป็นระดับสูงอยู่
ด้านอัตรากำไรขั้นต้นคาดอยู่ที่ 17.6% แม้ลดลงจากไตรมาสก่อนที่ 18.2% เนื่องจากสัดส่วนยอดขายของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งเพิ่มขึ้น (ซึ่งอัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าอาหารทะเลกระป๋อง) แต่ในภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในปีก่อน ด้านธุรกิจของ Red Lobster ซึ่งเป็นภัตรคารอาหารทะเลได้รับผลบวกจากการเปิดเมืองด้วยเช่นกัน ทำให้คาดว่าส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วมโดยรวมจะลดลง
สำหรับแนวโน้มใน Q4/63 เรายังมีมุมมองเดิม คือ แนวโน้มกำไรจะยังแข็งแกร่ง แม้ว่าการเปิดเมืองในหลายประเทศอาจทำให้ยอดขายอาหารทะเลกระป๋องลดลงบ้าง แต่ก็จะได้ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งในส่วน Food Service เข้ามาชดเชย อีกทั้งธุรกิจของ Red Lobster คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัวต่อเนื่องภายหลังการเปิดเมืองได้เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ กำไรงวด 9 เดือนที่คาดคิดเป็นราว 87% ของประมาณการทั้งปีแล้ว จึงมีโอกาสจะปรับประมาณการกำไรปี 63 ขึ้นในอนาคต แต่คงราคาเป้าหมาย 18.40 บาท อิงวิธี DCF มอง Upside ยังน่าสนใจ จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ"