บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) (SFT) เตรียมเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหุ้น กำหนดราคาเสนอขายหุ้นละ 3.80 บาท ระหว่างวันที่ 19-22 ต.ค.63 คิดเป็นมูลค่าระดมทุน 456 ล้านบาท โดยคาดว่าหุ้นจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 29 ต.ค.นี้
การกำหนดราคาขาย IPO ดังกล่าวกระทำโดยการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ (Bookbuilding) ซึ่งเป็นวิธีการสำรวจปริมาณความต้องการซื้อหุ้นสามัญของนักลงทุนสถาบันในแต่ละระดับราคา โดยการตั้งช่วงราคา (Price Range) และเปิดโอกาสให้นักลงทุนสถาบันแจ้งราคาและจำนวนหุ้นที่ประสงค์จะจองซื้อมายังผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ปัจจุบัน SFT เป็นหนึ่งในผู้นำการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปที่ครบวงจรให้แก่อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค มีทุนจดทะเบียนจำนวน 220 ล้านบาท แบ่งเป็น 440 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท โดยเป็นทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 160 ล้านบาท และจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 120 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ โดยจะนำเงินส่วนใหญ่ที่ได้จากการระดมทุนไปลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งที่ 2 พร้อมกับลงทุนในเครื่องจักร รองรับการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดใหม่ๆ เพื่อผลักดันการเติบโตในอนาคต ส่วนที่เหลือจะนำไปชำระเงินกู้สถาบันการเงินและเป็นเงินทุนหมุนเวียน
วันนี้ SFT ได้เซ็นสัญญาแต่งตั้งบล.อาร์ เอช บี (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO พร้อมแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น อีก 8 ราย ประกอบด้วย บล.เอเอสแอล ,บล.คันทรี่ กรุ๊ป ,บล.เอเชีย พลัส ,บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ,บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ,บล.ฟินันเซีย ไซรัส ,บล.คิงส์ฟอร์ด และบล.ไอร่า
นายคมกฤต มีคำสัตย์ กรรมการผู้จัดการ สายงานตลาดทุน บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า หลังสำรวจความต้องการซื้อ (Book Building) ของนักลงทุนสถาบัน พบว่านักลงทุนสถาบันได้แสดงความต้องการซื้อหุ้นอย่างล้นหลาม สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ SFT และโอกาสการเติบโตในอนาคต ดังนั้น จึงได้กำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้น IPO ของ SFT ที่หุ้นละ 3.80 บาท โดยจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อหุ้นได้ในระหว่างวันที่ 19-22 ต.ค. และคาดว่าจะนำหุ้น SFT เข้าจดทะเบียนใน mai ในวันที่ 29 ต.ค.นี้
นายซุง ชง ทอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ธุรกิจของบริษัทอยู่ในกลุ่มของอุปโภคบริโภค ทั้งอาหาร และเครื่องดื่ม ที่ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตามก็ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ไทยถือว่าเป็นครัวกลางของโลก โดยปัจจุบันบริษัทมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าไปแล้วจนถึงปลายปี 63 และมีคำสั่งซื้อบางส่วนยาวไปถึงช่วงต้นปี 64 แล้ว จึงเชื่อว่าผลประกอบการจะเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ แม้ว่าในไทยจะเผชิญกับสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองก็ตาม
"เราก็กังวลอยู่แล้วกับสถานการณ์ทางการเมือง แต่อย่างไรก็ตาม เรายังคงมั่นใจแผนการดำเนินงานและการเติบโตที่จะมีจากคำสั่งซื้อที่มีล่วงหน้าไปถึงปลายปีแล้ว ซึ่งช่วงครึ่งปีที่ผ่านมารายได้เติบโตกว่า 12% แล้ว เทียบกับปีก่อนที่มีการเติบโต 12%"นายซุง ชง ทอย กล่าว
บริษัทเป็นหนึ่งในผู้นำการให้บริการ Labeling Solutions แบบครบวงจร ด้วยผลิตภัณฑ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปในภูมิภาคอาเซียน โดยอาศัยจุดแข็งด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปมานานกว่า 12 ปี เข้าไปช่วยตอบโจทย์ทางการตลาดในการสร้างภาพลักษณ์และมูลค่าให้แก่แบรนด์สินค้า (Brand Identity) ผ่านการให้บริการที่ครบวงจรตั้งแต่ การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ การเลือกรูปทรงบรรจุภัณฑ์และการออกแบบฉลากผลิตภัณฑ์ รวมถึงให้คำปรึกษาด้านเทคนิคการหดตัวของฉลากฟิล์ม (ชริ้ง) เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ความงามและของใช้ในครัวเรือน
นายซุง ชง ทอย กล่าวว่า บริษัทมีศักยภาพด้านการพิมพ์ฉลากฟิล์มหดรัดรูปด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดยบริษัทมีระบบการพิมพ์ที่เป็นรูปแบบกราเวียร์ ซึ่งเป็นระบบการพิมพ์ที่ต้องใช้แม่พิมพ์ สามารถจัดพิมพ์ฉลากได้ในปริมาณมากและใช้เวลาไม่นาน ประกอบกับต้นทุนต่ำ จึงสามารถรองรับกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่ต้องการฉลากฟิล์มหดรัดรูปเป็นจำนวนมาก และระบบการพิมพ์รูปแบบดิจิทัล ซึ่งเป็นระบบการพิมพ์ที่ใช้เทคนิคการสร้างภาพด้วยระบบเลเซอร์ สามารถรองรับกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมที่มีปริมาณงานพิมพ์จำนวนไม่มาก (Made to order)
ขณะเดียวกันบริษัทยังมุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจจากการนำเสนอบริการที่ครบวงจร โดยรับออกแบบและผลิตแม่พิมพ์ เพื่อใช้ในการผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูป และมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ฟิล์มยืดเพื่อใช้ในการห่อรัดสินค้าบนพาเลทเพื่อลำเลียงขนส่ง และจำหน่ายให้แก่ลูกค้าของบริษัทซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างมั่นคงอีกด้วย
บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ ไปลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ เพื่อขยายกำลังการผลิต และเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ฟิล์มหดรัดรูปในกลุ่มฟิล์มใสที่มีความหดตัวสูง (POF Shrink Film) และกลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกชนิดอ่อน (Flexible Packaging) รวมถึงบริหารจัดการกำลังการผลิตของเครื่องจักรผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปจากการลงทุนก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่นี้ด้วย คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 65 สอดรับกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อความต้องการฟิล์มหดรัดรูปที่เพิ่มสูงขึ้น
ส่วนผลการดำเนินงานในงวดครึ่งแรกของปี 63 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 330.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.05% และมีกำไรจากการดำเนินงาน 49.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.38% เนื่องจากกลุ่มลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่มีสัดส่วนกว่า 80% ของฐานลูกค้าทั้งหมด มียอดสั่งผลิตฉลากฟิล์มหดรัดรูปเพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการสินค้าที่สูงขึ้น ประกอบกับมีการบริหารจัดการต้นทุนการผลิตที่มีประสิทธิภาพทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) ส่งผลให้กำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดีและสนับสนุนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกเติบโตได้ตามแผน