(เพิ่มเติม) ภาวะตลาดหุ้นไทย: แนวโน้มดัชนีเช้าปรับลง วิตกการเมืองกดดัน แม้คืบหน้าแผนกระตุ้นศก.สหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 19, 2020 09:31 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) คาดว่าดัชนีหุ้นไทยเช้านี้น่าจะเปิดปรับตัวลดลง สะท้อนความกังวลต่อเหตุสลายการชุมนุมทางการเมืองในประเทศเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งหากปรับลงลึกดัชนีก็น่าจะมีโอกาสรีบาวด์กลับ ทำให้ภาพรวมการปรับลดลงอาจจะไม่มาก เนื่องจาก Sentiment ต่างประเทศเป็นบวก ทั้งตลาดหุ้นเอเชียที่ส่วนใหญ่เปิดบวก และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สที่พุ่งขึ้นกว่า 100 จุด ตอบรับความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ ที่นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะได้รับการผลักดันให้มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พ.ย.นี้

นอกจากนี้การที่กองทุนในประเทศทยอยขายหุ้นออกมาค่อนข้างมากในสัปดาห์ก่อน โดยเฉพาะในช่วงวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ มีแรงขายออกมารวมกว่า 4.1 พันล้านบาท ก็น่าจะทำให้กลับมาซื้อในสัปดาห์นี้จากปัจจัยบวกต่างประเทศที่เข้ามา ประกอบกับการชุมนุมแม้จะมีความยืดเยื้อและอาจจะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ แต่ก็น่าจะเป็นภาพที่ตลาดรับรู้ไประดับหนึ่งแล้ว

ขณะที่สัปดาห์นี้จะนักลงทุนยังจับตาดูการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/63 ของกลุ่มแบงก์ที่จะออกมา หลังจากที่บมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) และบมจ.บัตรกรุงไทย (KTC) ประกาศออกมาแล้วดีกว่าคาด โดยเฉพาะด้านคุณภาพสินทรัพย์ แต่ยังต้องจับตาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ระยะต่อไปหลังจากที่หมดมาตรการพักชำระหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันที่ 22 ต.ค.นี้ และผลการจัดทำประมาณการฐานะและการดำเนินงานภายใต้ภาวะวิกฤติ (Stress Test) ของธนาคารพาณิชย์ที่จะออกมาในเดือนต.ค.นี้ด้วย ซึ่งหากผลประกอบการไตรมาส 3/63 ของกลุ่มแบงก์และคุณภาพสินทรัพย์ไม่แย่กว่าคาด หุ้นกลุ่มแบงก์ก็พร้อมที่จะรีบาวด์ขึ้นหลังจากที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับตัวลดลงมามากแล้ว นอกจากนี้หากผล Stress Test ออกมาทุกแบงก์น่าจะผ่านเกณฑ์หมด ก็อาจจะกลับมาจ่ายปันผลได้หากธปท.อนุญาต ก็ยังจะเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นกลุ่มแบงก์ด้วย

พร้อมให้แนวรับที่ 1,220 และ 1,200 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,240 และ 1,247 จุด

ประเด็นพิจารณาการลงทุน

  • ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (16 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,606.31 จุด เพิ่มขึ้น 112.11 จุด (+0.39%) , ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,483.81 จุด เพิ่มขึ้น 0.47 จุด (+0.01%) และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,671.56 จุด ลดลง 42.31 จุด (-0.36%)
  • ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 14.74 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 133.06 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 178.64 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 52.95 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 11.39 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 7.53 จุด, ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.37 จุด
  • ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (16 ต.ค.63) 1,233.68 จุด ลดลง 9.28 จุด (-0.75%)
  • นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 463.92 ล้านบาท เมื่อวันที่ 16 ต.ค.63
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (16 ต.ค.63) ปิดที่ 40.88 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 8 เซนต์ หรือ 0.2%
  • ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (16 ต.ค.63) อยู่ที่ 1.39 ดอลลาร์/บาร์เรล
  • เงินบาทเปิด 31.19 แนวโน้มทรงตัว รอความชัดเจนจากปัจจัยใน-นอกประเทศ
  • ธปท.ออกประกาศสั่งแบงก์ คงสถานะลูกหนี้ถึงสิ้นปี 63 หวังมีเวลาเจรจา ชี้ลูกหนี้รายได้ไม่ฟื้น เปิดทาง"แบงก์"พักหนี้ต่ออีก 6 เดือนไม่เกินมิ.ย.64 แนะลูกหนี้มีศักยภาพกลับมาชำระหนี้ปกติ หวั่นหากเอสเอ็มอีพักหนี้ต่อทั้งหมด 9.5 แสนล้านบาท กระทบสภาพคล่องแบงก์วูบปีละ 2 แสนล้านบาท
  • นายรณดล นุ่มนนท์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. ได้ลงนามแนวนโยบายเรื่องการสอบทานธุรกรรมด้านสินเชื่อของสถาบันการเงินฉบับใหม่ ซึ่งได้ปรับปรุงเป็นเชิงหลักการเพื่อให้สถาบันการเงินนำไปปรับให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม และสามารถสะท้อนความเสี่ยงด้านเครดิตได้อย่างถูกต้องทันเวลา รวมทั้งตรวจพบจุดอ่อนและปรับปรุงแก้ไขความเสื่อมคุณภาพของลูกหนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ก่อนจะกลายเป็นลูกหนี้ด้อยคุณภาพหรือเอ็นพีแอล และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเดิมซ้าลูกหนี้รายอื่น ๆ กำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.64
  • รมว.คลังฟุ้งปีหน้าเศรษฐกิจไทยสะเด็ดน้ำ จีดีพีโตพรวด 5% ส่วนปีนี้ยอมรับพิษโควิด-19 กระทบหนักกดเศรษฐกิจขยายตัวติดลบ 7.5% พร้อมขอไอเอ็มเอฟเพิ่มบทบาทดูแลประเทศเสี่ยง หลังกังวลความสามารถในการชำระหนี้หลายประเทศเริ่มส่อปัญหา
  • สคร.เตรียมประชุมร่วมกับรมว.คลังสัปดาห์นี้ เสนอการปรับแผนกรอบลงทุนเบิกจ่ายรัฐวิสาหกิจปีงบ 64 โดยจะมีการปรับแผนการเพิ่มลงทุนให้มากกว่าเดิมที่กำหนดไว้ 2.91 แสนล้านบาท ตามนโยบายที่ต้องการให้การลงทุนของรัฐวิสาหกิจมีบทบาทช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเพิ่มการจ้างงานในปีหน้า
  • นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้าง ผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มการจ้างงานของผู้ประกอบการคาดว่ายังคงอยู่ในภาวะชะลอตัวตามทิศทางเศรษฐกิจไปอย่างน้อยจนถึงไตรมาสแรกของปี 2564 เนื่องจากภาคการผลิตขณะนี้อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยยังอยู่ที่เพียง 60.8% แม้จะปรับตัวดีขึ้นแต่ก็ยังเป็นอัตรากำลังการผลิตที่ยังคงเหลืออยู่ยังไม่ส่งผลให้เกิด การจ้างงานใหม่อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น ผลกระทบโควิด-19 ทำให้ลูกจ้างจะต้องปรับตัวรับกับวิถีใหม่ที่จะเกิดขึ้น
  • เอกชนเสนอ"รัฐบาล-ผู้ชุมนุม" เจรจาหาทางออกประเทศ อย่าให้การเมืองซ้ำเติมเศรษฐกิจ หอการค้าไทย หวั่นมือที่ 3 สร้างสถานการณ์รุนแรง กระทบการลงทุนต่างชาติ ส.อ.ท.หวัง หารือสร้างสันติ สร้างความมั่นใจอนาคตคนรุ่นใหม่ ขณะหอต่างชาติหนุนเจรจา ชี้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินใช้ต้นทุนทางสังคมสูง ด้านประธานรัฐสภา เรียกหัวหน้าพรรคการเมือง วิปรัฐบาลและฝ่ายค้านถกใช้เวทีรัฐสภาฝ่าวิกฤติ ด้านเพื่อไทยชงเปิดประชุมสมัยวิสามัญด่วน แก้รัฐธรรมนูญพร้อมเปิดโต๊ะเจรจา

*หุ้นเด่นวันนี้

  • PTTGC (เอเชีย เวลท์) แนะ"ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 58 บาท โดยคาด 3Q63 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 880 ล้านบาท ลดลงทั้ง QoQ และ YoY ธุรกิจโอเลฟินส์ฟื้น แต่ค่าการกลั่น และส่วนต่างราคาอะโรเมติกส์ยังคงอ่อนแอ แนวโน้มผลประกอบการ 4Q63 ฟื้นตัว แต่ยังคงเปราะบาง โดยธุรกิจโอเลฟินส์ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง ราคาหุ้นปรับลดลงกว่า 12% จากสิ้น 2Q63 ขณะที่ฐานะการเงินของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง ทำให้น่าสนใจในการลงทุน
  • TU (กรุงศรี) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเป้าหมาย 17.60 บาท หลังคาด 3Q63 มีกำไรสุทธิ 1.79 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4%qoq และ 30% yoy แนวโน้ม 4Q63 โตต่อจากอานิสงส์ยุโรปล็อกดาวน์รอบ 2 หนุนดีมานด์ทูน่ากระป๋องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • JWD (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 10 บาท หลังคาดกำไรปกติ 3Q63 กลับมาเกือบเป็นปกติ +46% Q-Q, -6% Y-Y และยังมีโมเมนตัมฟื้นตัวต่อเนื่องใน 4Q63 และเป็นจุดสูงสุดของปี คาดกำไรปี 63 -19% Y-Y ก่อนฟื้นตัว +22% Y-Y ในปี 64 โดยชอบศักยภาพการเติบโตระยะยาวจากการวางรากฐานในหลายประเทศในเอเชีย และโลจิสติกส์เป็นกระดูกสันหลังจองหลายธุรกิจ ราคาหุ้นปรับฐานลงหาแนวรับสำคัญบริเวณ 7 บาทอีกครั้งทำให้ Upside เปิดกว้าง ราคาหุ้นซื้อขายที่ EV/EBITDA ราว 11.6 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 20 เท่า

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ