นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) เปิดเผยว่า บริษัทปรับลดเป้าหมายยอดโอนในปี 63 เหลือ 4 พันล้านบาท จากเดิมที่ตั้งไว้ 9 พันล้านบาท หลังช่วงครึ่งแรกปีนี้สามารถทำยอดโอนได้กว่า 1 พันล้านบาทเท่านั้น รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ทำให้การโอนโครงการในช่วงที่ผ่านมาชะลอตัว โดยเฉพาะการโอนของลูกค้าชาวต่างชาติที่ไม่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศได้ ขณะที่กลุ่มลูกค้าต่างชาติที่ซื้อโครงการของบริษัทมีสัดส่วนสูงถึงกว่า 40%
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทได้เตรียมความพร้อมอำนวยความสะดวกในเรื่องการโอนโครงการให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ และจากการคลายล็อกดาวน์มาตรการเข้มเพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็เริ่มมีลูกค้าชาวไทยทยอยกลับมาโอนเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าชาวต่างชาติที่สามารถโอนได้ก็ค่อย ๆ เริ่มกลับมาโอนบ้าง โดยในช่วงไตรมาส 4/63 บริษัทมองว่ายอดโอนจะกลับมาดีขึ้น เพราะเป็นช่วงที่มีโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่เริ่มทยอยโอน คือโครงการ The ESSE สุขุมวิท 36 มูลค่า 6.5 พันล้านบาท ทำยอดขายไปแล้วกว่า 4 พันล้านบาท เริ่มทยอยโอนตั้งแต่เดือนต.ค.นี้ และคาดว่าถึงสิ้นปีจะสามารถโอนได้ 1.65 พันล้านบาท ผลักดันให้ยอดโอนรวมในไตรมาส 4/63 น่าจะทำได้ 2.5 พันล้านบาท จากปัจจุบันที่มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่กว่า 6 พันล้านบาท
ส่วนการขายโครงการคอนโดมิเนียมในช่วงที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ถือว่ายอดขายค่อนข้างนิ่ง จากภาวะเศรษฐกิจและตลาดคอนโดมิเนียมที่ยังชะลอตัว ทำให้การตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมชะลอตัวตามไปด้วย จะเห็นได้จากยอดขายของโครการคอนโดมิเนียม The Extro พญาไท-รางน้ำ ที่บริษัทเปิดตัวไปต้นปีก่อนโควิด-19 ยอดขายยังคงนิ่งอยู่
แตกต่างจากตลาดแนวราบที่มีการเติบโตสวนกระแส จากพฤติกรรมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยของคนที่เปลี่ยนไป หลังจากโควิด-19 แพร่ระบาด ทำให้คนมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ซึ่งโครงการแนวราบจะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในส่วนของพื้นที่ใช้สอยได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ตลาดแนวราบเติบโตขึ้น และช่วยหนุนผลงานให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์บางรายที่มีการพัฒนาโครงการแนวราบเป็นหลักอยู่แล้ว
การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมการซื้อที่อยู่อาศัยของคนที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น ทำให้แผนการพัฒนาโครงการของบริษัทในปี 64 จะหันมารุกตลาดโครงการแนวราบ ระดับลักซ์ชัวรี่เพิ่มขึ้น จากการพัฒนาแบรนด์ใหม่ที่ระดับราคาลดลงเล็กน้อยจากโครงการ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท โดยที่บริษัทยังจับกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่มีกำลังซื้อเป็นหลัก ตามคอนเซ็ปต์ของสิงห์ เอสเตท ซึ่งบริษัทมีที่ดินที่รองรับการพัฒนาโครงการแนวราบแล้ว 2-3 แปลง แต่แผนการพัฒนาโครงการที่แน่นอนจะมีการประกาศอีกครั้ง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมแผนงาน
"ปีหน้าคงไปโฟกัสตลาดแนวราบมากขึ้น เรายังคงลงทุนต่อ แต่ก็ปรับการลงทุนให้ตรงกับภาวะของตลาดที่ตลาดแนวราบเติบโตขึ้นสวนกระแส จากดีมานด์ที่เพิ่มขึ้น และความต้องการพื้นที่ใช้สอย จะเห็นว่าหลายแบรนด์ในปีนี้ที่ทำแนวราบอยู่แล้วก็เติบโตขึ้น ซึ่งเราก็เห็นโอกาสในส่วนนี้ และที่ดินเราก็พอมีอยู่แล้ว ก็จะพัฒนาแบรนด์ใหม่ขึ้นมาใน Segment ที่ลดลงจากสันติบุรี ลงมาหน่อย"นายณัฐวุฒิ กล่าว
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ส่วนปัจจัยการชุมนุมทางการเมืองบริษัทมองเป็นผลกระทบเชิงลบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ในระยะสั้น เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยผ่านเรื่องการประท้วงมาหลายครั้ง และหลังจากสถานการณ์คลี่คลายตลาดก็กลับมาเติบโตดีขึ้น ซึ่งบริษัทก็เตรียมความพร้อมด้านการขายและการโอนรองรับไว้ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าให้ได้มากที่สุด แต่บริษัทมองว่าปัจจัยโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลายลงชัดเจน ถือเป็นปัจจัยกดดันที่ส่งผลต่อภาคธุรกิจ และตลาดอสังหาริมทรัพย์ในไทย เพราะสร้างความไม่แน่นอน กระทบต่อเศรษฐกิจ และลูกค้าชาวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อหรือโอนได้ด้วยตัวเอง ซึ่งหากมีวัคซีนออกมารักษาโควิด-19 ได้ชัดเจนแล้ว ก็เชื่อว่าจะเห็นภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ตามมาด้วย โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลา 1-2 ปี กว่าจะฟื้นกลับมา
ขณะที่สต็อกสินค้าของบริษัทในปัจจุบันจากโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมโอนมีมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านบาท แบ่งเป็น สต็อกจากโครงการ The ESSE สุขุมวิท 36 มูลค่า 2.3 พันล้านบาท โครงการ The ESSE อโศก มูลค่า 500-600 ล้านบาทและโครงการ The ESSE แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ราว 300 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้และปี 64