ด้านภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา นักลงทุนโดยส่วนใหญ่มองเห็นถึงความเสี่ยงที่เกิดขึ้นหากนายโจ ไบเดน ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งอาจทำให้ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลง ทำให้มีนักลงทุนมากกว่า 70% ทั่วโลกที่ปรับพอร์ตการลงทุนไปแล้ว ขณะที่เม็ดเงินในสินทรัพย์เสี่ยงอีก 30% ที่ยังปรับพอร์ตการลงทุนไม่แล้วเสร็จนั้น ก็อาจจะทำให้มีความผันผวนในสินทรัพย์เสี่ยงโลกมากขึ้น หากมีความเป็นไปได้ที่คะแนนโน้มเอียงไปยังนายโจ ไบเดน จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง "โอกาสในปัจจุบันมองว่า โจ ไบเดน มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ หลังจากคะแนนในรัฐใหญ่ ๆ ที่เป็นคะแนนบ่งชี้ว่าผู้ที่มีคะแนนนำจะเป็นผู้ชนะ โจ ไบเดน มีคะแนนนำ โดนัลด์ ทรัมป์ อยู่สูงมาก"นายกรภัทร กล่าว
ส่วนประเด็นที่จะมีผลต่อการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง และประเด็นที่ส่งผลให้มีการปรับพอร์ตการลงทุนไปหนึ่งครั้งในช่วงก่อนหน้านี้คือ นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีของนายโจ ไบเดน แม้ว่านโยบายการลงทุนของนายโจ ไบเดน และนายโดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ต่างกัน โดยเน้นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นหลัก แต่มีความแตกต่างคือนายโจ ไบเดน จะเน้นการลงทุนในด้านสิ่งแวดล้อมเป็นหลัก ต่างจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ใช้วาทกรรมมากกว่า แต่ไม่ได้มีการสนับสนุนที่แท้จริง
แต่อย่างไรก็ตามก่อนการเดินหน้าไปสู่การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของนายโจ ไบเดน จะมีนโยบายปรับโครงสร้างภาษีก่อนโดยอาจจะมีการปรับขึ้นภาษีบริษัท จากปัจจุบันเก็บที่ 21% ซึ่งที่ผ่านมาปัจจัยของภาษีบริษัท สนับสนุนให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาโดยตลอด มีสมมติฐานว่าหากปรับขึ้นไปเป็น 25% จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นสหรัฐในแง่ผลตอบแทนอยู่ 4-5% แต่หากขึ้นเป็น 28% จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้น สหรัฐในแง่ผลตอบแทนอยู่ 10% ขณะที่ภาษีบุคคลก็อาจจะมีการกลับไปที่ระดับ 39.8% จากปัจจุบันที่ 37% ขณะที่นโยบายสงครามทางการค้าระหว่างประเทศสหรัฐ ที่มีต่อประเทศจีนมองว่าหากนายโจ ไบเดน มาก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม แต่อย่างไรก็ตามความผันผวนมองว่าจะปรับตัวลดลง เนื่องจากช่วงที่ผ่านมานายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ใช้โซเชียลมีเดียในการส่งสัญญาณด้านนโยบายทำให้สินทรัพย์เสี่ยงในภูมิภาคเอเชียมีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยมองว่านายโจ ไบเดนจะมีกรอบการเจรจาที่ชัดเจนกว่า จึงมองว่าความเสี่ยงด้านนโยบายปรับเปลี่ยนข้ามคืนจะไม่มี ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียมีทิศทางที่ดีขึ้น นายกรภัทร กล่าวถึงดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงหลังจากการเลือกตั้งของประเทศสหรัฐออกมาจะมีการปรับตัวขึ้นราว 5% และหลังจากนั้นจะปรับตัวขึ้นได้มากน้อยแค่ไหนจะขึ้นอยู่กับภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนของประเทศไทย ในส่วนของภาพราคาน้ำมัน หลังจากการเลือกตั้งประเทศสหรัฐฯ จะมีความผันผวนในเชิงลบ จึงเตือนนักลงทุนว่าหลังจากการเลือกตั้งว่ากลุ่มพลังงานอาจจะมีความเสี่ยง โดยเฉพาะหากเลือกตั้งแล้วได้นายโจ ไบเดน เข้ามานั่งเป็นประธานาธิบดี เนื่องจากไม่ได้มีการสนับสนุนด้านพลังงานฟอสซิล จึงอาจจะส่งผลให้ความต้องการในพลังงานฟอสซิลปรับตัวลดลงไป ในขณะเดียวกันทิศทางของยานยนต์ไฟฟ้าได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย สำหรับการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 มองว่าจะสามารถพัฒนาได้สำเร็จในปีนี้ และคาดว่าจะกระจายได้ดีในช่วงกลางปี 64 เป็นต้นไป ขณะที่การควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกที่สองจะทำได้ดียิ่งขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 1/64 ขณะที่เศรษฐกิจประเทศไทยคาดว่าจะฟื้นตัวแบบตัว U และตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) จะติดลบไปถึงไตรมาส 1/64 และคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของ GDP ไทยในช่วงไตรมาส 2/64 โดยได้รับแรงหนุนจากภาคการบริการ ภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก ที่จะเข้ามาสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศไทย ทั้งนี้ มองว่าตลาดหุ้นไทยจะมีกำไรของบริษัทจดทะเบียนอยู่ที่ 56 บาทต่อหุ้น ในปี 63 โดยมองว่าดัชนีจะอยู่ที่บวก-ลบ 1,200 จุด และในปี 64 กำไรของบริษัทจะทะเบียนไทยจะอยู่ที่ 74 บาทต่อหุ้น หรือมีเป้าหมายดัชนีที่ 1,370 จุด โดยมีโอกาสที่จะปรับคาดการณ์ผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นในช่วงปลายไตรมาส 1/64 ส่งผลให้มี Upside ราว 13% จากปี 63 จึงแนะนำว่าหากดัชนีปรับตัวลดลงมาอยู่ใกล้เคียง หรือต่ำกว่า 1,200 จุด ควรที่จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น จากเดิมที่แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียง 20-25% โดยแนะนำให้ลงทุนในกลุ่มที่ได้รับผลบวกจากการมาของเทคโนโลยี 5G แนะนำ INTUCH ,ADVANC ,KCE และ HANA กลุ่มที่ยังสามารถเติบโตได้ คือกลุ่มอาหาร แนะนำ TU,CPF กลุ่มพลังงานไฟฟ้า แนะนำ GULF และ BCPG ส่วนกลุ่มอื่น ๆ เป็นการเลือกหุ้นรายตัว คือ CPALL,CRC ,SPALI โครงการขนาดใหญ่ และโครงการบ้านเดี่ยวที่จะมีการโอนมากขึ้น ,ท่องเที่ยวมองว่าช่วงปลายปีสามารถเข้าลงทุนได้เพื่อที่จะรอรับปัจจัยหนุนในช่วงปลายปี 64 โดยให้เลือกบริษัทที่มีความเข้มแข็งทางด้านการเงิน คือ CENTEL กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการสนับสนุนโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) คือ WHA และ AMATA โดยมองว่าหลังจากการเลือกตั้งประเทศสหรัฐจะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น