โบรกเกอร์แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (DTAC) จากราคาหุ้นที่ปรับลดลงมามากในปัจจุบันทำให้มี Upside ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับราคาเป้าหมาย ทำให้มี Valuation ค่อนข้างถูกจากซื้อขายที่ EV/EBITDA ต่ำเพียงราว 4 เท่า จากค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 5-6 เท่า ขณะที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ราว 4.5% ต่อปี
ส่วนแนวโน้มผลประกอบการปี 64 คาดว่ากำไรจะยังลดลงต่อเนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น หลังจะต้องทยอยลงทุน 5G เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีความพร้อมเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ทำให้คาดว่ามีโอกาสที่ DTAC จะเข้าประมูลคลื่น 3500 MHz ในกลางปีหน้า
ช่วงบ่ายราคาหุ้น DTAC อยู่ที่ 31.25 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ 1.57% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 0.14%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 45.00 ทิสโก้ ซื้อ 48.00 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อเก็งกำไร 38.00 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 40.00 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 41.50 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 56.50
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า DTAC ประกาศผลกำไรปกติในไตรมาส 3/63 ที่ 1,460 ล้านบาทออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ ประกอบกับรายได้จากการให้บริการไม่รวม IC หดตัวแรงกว่าคาด แม้ภาพรวมการไหลออกของลูกค้าจะชะลอตัวลง โดยมีลูกค้าใหม่สุทธิ (Net Add) ติดลบที่ 1.1 แสนราย จากไตรมาสก่อนที่ลบถึง 7 แสนราย แต่ถูกกดดันจากรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่อเลขหมาย (ARPU) ที่หดตัวแรงจากผลกระทบของสภาพเศรษฐกิจรวมถึงการแข่งขันที่ยังสูง แม้จะมีมาตรการควบคุมต้นทุนโดยเฉพาะด้านค่าใช้จ่ายโครงข่ายแต่ชดเชยได้ไม่หมด ทั้งนี้คาดว่ากำไรปกติปี 63 จะทำได้ราว 5.5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ ประเมินผลประกอบการปี 64 คาดว่าจะยังหดตัวลงต่อเนื่องเหลือ 4.44 พันล้านบาท จากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นทั้งคลื่น 700 เมกะเฮิร์ตซ์ (MHz) และการทยอยลงทุน 5G ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่อย ๆ ขยับเพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside ค่อนข้างมากและ Valuation ยังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างถูก โดยซื้อขายที่ EV/EBITDA เพียง 4.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 5-6 เท่า รวมถึงให้ Dividend Yield ราว 4.5% ต่อปี โดยมีการปรับลดราคาเป้าหมายปี 64 ลงจาก 50 บาทเหลือ 45 บาท ยังสามารถซื้อลงทุนได้แม้ไม่ใช่ Top pick ของกลุ่มสื่อสาร
ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ภาพรวมผลประกอบการของ DTAC ในไตรมาสที่ 3/63 ยังสามารถทำกำไรปกติได้แม้จะลดลง 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เติบโต 5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/63 จากขาดทุนขายเครื่องลดลง ไม่ต้องจ่ายค่าตัดจำหน่าย และการคุมเข้มรายจ่ายมากขึ้น แต่ในเชิงพื้นฐานยังถือว่าไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ต.ค.นี้ จะมีการเปิดตัว iPhone 12 ซึ่งมีถึง 4 รุ่น และรองรับบริการ 5G ได้ทุกรุ่น เชื่อว่าทุกค่ายจะมีค่าใช้จ่ายการตลาดที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อแย่งชิงลูกค้าผ่านการขาย iPhone 12 พร้อมแพ็คเกจรายเดือน โดยยอมลดราคาเครื่องเป็นการจูงใจ ส่งผลให้ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้ที่ 6 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.5% จากปีก่อน ขณะกำไรปกติทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน อย่างไรก็ดีคาดว่าลูกค้าพรีเมียมจะมีการไหลออกเนื่องจากความพร้อมทางการให้บริการ 5G
ทั้งนี้ ปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย DTAC ปีหน้าอยู่ที่ 38 บาท มี Upside 14.3% แนะนำเพียง"ซื้อเก็งกำไร" เท่านั้น จากปัจจุบันราคาหุ้นลดลงมาค่อนข้างมาก แต่ผลประกอบการปีหน้าที่มีแนวโน้มลดลงอย่างมีนัย อีกทั้งความพร้อมบริการ 5G ยังด้อยกว่าคู่แข่ง เพราะต้องรอประมูลคลื่น 3500 MHz ในกลางปีหน้า
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุว่า DTAC รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 3/63 ที่ 1.44 พันล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 18.3% และลดลงจากไตรมาสก่อน 24% จากรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวม IC) ที่ลดลงตามจำนวนผู้ใช้บริการที่ลดลงแตะ 18.7 ล้านเลขหมาย ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังยืดเยื้อและส่งผลต่อการลดระดับการใช้จ่าย รวมถึงการแข่งขันที่ยังสูง โดยเฉพาะระบบเติมเงินที่รุนแรงกว่าระบบรายเดือน ขณะที่ต้นทุนการให้บริการ (ไม่รวม IC) ปรับลดลงตามการลดลงรายได้จากการให้บริการ และการควบคุมค่าใช้จ่ายให้มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ดีประเมินกำไรไตรมาส 4/63 คาดยังมีความเสี่ยง
แม้ทางฝ่ายจะปรับลดคาดการณ์กำไรลงสะท้อนผลดำเนินงานปัจจุบันที่ยังไม่สดใสและมีความเสี่ยง แต่ด้วยราคาหุ้นที่ปรับตัวลงจนยังมี Upside มากกว่า 15% จากราคาพื้นฐานปี 64 ที่ 41.50 บาท จึงยังคงแนะนำ "ซื้อ"