(เพิ่มเติม) FPT ตั้งเป้ารักษารายได้งวดปี 63/64 กว่า 2 หมื่นลบ.ดันทุกธุรกิจขึ้น Top3

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday October 20, 2020 16:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) (FPT) เปิดเผยว่า ภาพรวมของธุรกิจงวดปี 63/64 (ต.ค. 63-ก.ย. 64) บริษัทยังคงตั้งเป้าที่จะรักษาระดับรายได้ไว้ให้ได้ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้านบาท แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ โดยจะเน้นการสร้างความแข็งแกร่งภายในขององค์กร ควบคู่ไปกับการควบคุมค่าใช้จ่าย เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้

หัวใจสำคัญของการก้าวกระโดดสู่ความสำเร็จ คือ กลยุทธ์ One Platform ที่ทำให้บริษัทสามารถให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างครอบคลุมตรงโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า โดยการรวมกันบนแพลตฟอร์มเดียวจะเป็นการสร้างความมั่นคงให้แก่บริษัท เพราะจะมีรายได้จากหลายช่องทาง และรายได้ประจำ (Recurring Income) เพิ่มมากขึ้น ทำให้สามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยจะดำเนินตามแผน ONE-TO-THREE ซึ่งหมายถึง "ONE platform TOwards being a trusted brand and the top THREE in all asset classes" หรือ การรวมธุรกิจเป็นหนึ่งเดียวด้วยแพลตฟอร์มอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เพื่อมุ่งสู่การเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับ Top 3 ของทุกกลุ่มธุรกิจในปี 66

"การผนึก 3 กลุ่มธุรกิจศักยภาพสูงเข้าไว้ในแพลตฟอร์มเดียวกัน จะสร้างความแข็งแกร่งและส่งเสริมการเติบโตทางธุรกิจของ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย ในบทบาทของผู้นำการขับเคลื่อนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ด้วยพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์ที่ครบวงจรที่สุดในประวัติการณ์นี้ ทำให้บริษัทสามารถขยายขีดความสามารถในการส่งมอบสินค้าและบริการ พร้อมข้อเสนอทางการตลาดที่โดดเด่นและแตกต่างจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นในประเทศ ด้วยแนวคิดในการดำเนินธุรกิจที่ให้ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer-Centric) เราจะนำความเข้าใจลูกค้าและความเชี่ยวชาญในธุรกิจและตลาดอสังหาฯไทย ผสานเข้ากับความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลของ เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ มาพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย"นายธนพล กล่าว

นายธนพล กล่าวว่า แผนงานในช่วง 3 ปีจากนี้ (ปี 64-66) บริษัทได้วางแผนการพัฒนาและยกระดับบริษัทให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากการควบรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องทั้ง 3 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงอุตสาหกรรม ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ เข้ามาในปี 63 แล้ว และในปี 64 จะเป็นการผสานการทำงานและเสริมประโยชน์กันของทั้ง 3 ธุรกิจกันอย่างเต็มตัวแบบไร้รอยต่อ ในรูปแบบ One Platform และในปี 65 บริษัทจะเน้นไปที่การพัฒนาด้านแบรนด์ของ FPT ให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่น มีความมั่นใจในด้านคุณภาพของการใช้บริการให้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปในปี 65 ที่จะก้าวขึ้นเป็น Top 3 ในใจลูกค้าในทุกธุรกิจ

ขณะที่ในด้านสัดส่วนรายได้ของบริษัทในช่วง 5 ปีจากนี้จะกระจายสัดส่วนรายได้ให้มีความสมดุลมากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนรายได้หลักมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายจากการพัฒนาที่อยู่อาศัย 70-80% และรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าเพื่ออุตสาหกรรมและพาณิชย์ราว 25-30% ซึ่งในช่วง 5 ปีจากนี้จะปรับสัดส่วนให้รายได้ประจำจากธุรกิจให้เช่าเพิ่มเป็น 30-40% เพื่อเป็นการสร้างความสมดุลให้กับรายได้และกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ

อย่างไรก็ตามธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยจะยังคงเป็นสัดส่วนที่มากอยู่ เพราะในประเทศไทยความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังมีอยู่มาก โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวราบที่ตลาดเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนเกิดการแพร่ะบาดโควิด-19 ถึงปัจจุบัน และบมจ.แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ ถือเป็นผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ Top5 ของกลุ่มทาวน์เฮาส์ในอุตสาหกรรม ทำให้ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีบทบาทที่สำคัญในการผลักดันการเติบโตของธุรกิจ

สำหรับงบลงทุนในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 64-66) บริษัทจะเน้นการใช้งบลงทุนส่วนใหญ่ในการซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการแนวราบเฉลี่ย 6-8 พันล้านบาท/ปี จากงบลงทุนรวมในช่วง 3 ปีที่ปีละ 7 พันล้านบาท ถึง 1 หมื่นล้านบาท ส่วนงบลงทุนอีก 1-2 พันล้านบาท จะใช้ในการก่อสร้างคลังสินค้าให้เช่าตามแผนการลงทุน ส่วนการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานในระยะต่อไปยังไม่มีแผนการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ เนื่องจากในกลุ่มของเฟรเซอร์ส ยังอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการ ONE BANGKOK ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่

"แผนธุรกิจเรายังมองในระยะ 3 ปีก่อน เพราะจริง ๆ แล้วแผนธุรกิจเรามีการปรับเปลี่ยนได้ตลอดตามสถานการณ์ที่มีปัจจัยสร้างความไม่แน่นอนเข้ามาตลอด การทำธุรกิจอสังหาฯถือเป็นเรื่องที่ใช้ Local Knowledge จริง ๆ ในการผลักดันให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ และเติบโตอย่างมีมาตรฐาน ทำให้แพลตฟอร์มของอสังหาฯที่เราทำกลมกล่อม"นานธนพล กล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังเล็งเห็นการปรับลดหนี้สินให้ลดลง เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย และทำให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาแผนงานไม่ว่าจะเป็นจากการใช้กำไรมาคืนหนี้ หรือทางเลือกอื่น ๆ ที่ตลาดทุนมีเครื่องมือ เพื่อทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่มีภาระดอกเบี้ย (IBD/E) ของบริษัทลดลงเหลือราว 1 เท่า จากปัจจุบันที่ 1.5 เท่า ทำให้บริษัทมีภาระดอกเบี้ยลดลง

ส่วนความคืบหน้าการลงทุนโครงการดาต้า เซ็นเตอร์ของบริษัท พื้นที่ 60,000 ตารางเมตร ที่อยู่ในย่านรามคำแหง-หัวหมาก อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในต้นปี 64


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ