โบรกเกอร์แนะนำWซื้อ"หุ้นบมจ.ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) ประเมินมีโอกาสผ่านการจัดทำประมาณการฐานะและการดำเนินงานภายใต้ภาวะวิกฤติ (Stress Test) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่น่าจะออกมาในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย.นี้ จากเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง และสามารถควบคุมระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ได้ดี ทำให้เชื่อว่า TISCO จะสามารถจ่ายปันผลได้หลังได้รับการอนุญาตจาก ธปท.ขณะที่ TISCO เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงระดับ 8-9%
พักเที่ยงราคาหุ้น TISCO อยู่ที่ 71.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาท หรือ 2.52% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ปรับขึ้น 0.14%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) กสิกรไทย ซื้อ 84 ทรีนีตี้ ซื้อ 89 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ซื้อ 80 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ทยอยซื้อ 86 เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 80 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 85 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 75 หยวนต้า (ประเทศไทย) ซื้อ 86
นายกรกช เสวตร์ครุตมัต นักวิเคราะห์กลุ่มธนาคาร และธุรกิจการเงิน บล.กสิกรไทย กล่าวว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อ TISCO จากอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพของธนาคาร (coverage ratio) ที่อยู่ในระดับสูงถึง 196% ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในกลุ่มแบงก์, ต้นทุนการเงิน (Cost of Fund) ที่ลดลงได้อีก จากการดึงเงินฝากมาทดแทนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดอายุ ต้นทุนถูก และเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Capital Tier 1) ที่มีอยู่ 18% ก็น่าจะเพียงพอต่อการรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจรอบนี้
ทั้งนี้ ได้ปรับราคาเป้าหมายหุ้น TISCO ขึ้นเป็น 84 บาท/หุ้น จากเดิม 80 บาท/หุ้น เนื่องจากปรับประมาณการณ์กำไรในปีนี้ขึ้น 7% และในปีหน้า 10% จากการตั้งสำรองฯลดลง โดยคาดลดลง 12% ในปี 63 และ 29% ในปี 64 จากการควบคุม NPL ได้ดีกว่าคาด, รายได้ค่าธรรมเนียม (Non-NII) ที่ทำได้ดีกว่าคาด หลัก ๆ มาจากการที่บลจ.ทิสโก้ (TISCOAM) ได้ออกกองทุนใหม่ ๆ และทำได้ดี
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 มองว่า NPL น่าจะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย หลังสิ้นสุดมาตรการช่วยเหลือลูกค้า แต่การตั้งสำรองฯน่าจะไม่เพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน coverage ratio อยู่ในระดับสูง 196% หรือคิดเป็น 2 เท่าของ NPL ในปัจจุบัน ทำให้กำไรในไตรมาส 4/63 จะไม่ถูกกดดันจากการตั้งสำรองฯแล้ว รวมถึงต้นทุนการเงินยังลดลงต่อเนื่อง แม้การปล่อยสินเชื่อใหม่ ดอกเบี้ยจะลดลง จากการแข่งขันในตลาดที่สูงขึ้น โดยคาดว่ากำไรในไตรมาส 4/63 น่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 3/63 หรืออยู่ประมาณ 1,500-1,600 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ให้ติดตามดูผล Stress Test จาก ธปท.ที่จะออกมาในเดือน ต.ค.หรือเดือน พ.ย.63 ซึ่งคาดการณ์ว่า TISCO น่าจะผ่านผลการทดสอบ เนื่องจากเงินกองทุนชั้นที่ 1 มีมากที่สุดในกลุ่มแบงก์, สามารถควบคุม NPL ได้ดี ซึ่งน่าจะทำให้ TISCO มีโอกาสในการจ่ายปันผล โดยคาดระดับการจ่ายปันผลที่ 5-6 บาท/หุ้น
นายธนภัทร ฉัตรเสถียร นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ยังคงแนะนำ"ซื้อ"สำหรับ TISCO แม้ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 อาจะถูกกดดันจากปัจจัยด้านคุณภาพหนี้และการตั้งสำรองหนี้ หลังจากที่กลุ่มลูกค้าที่พักชำระเงินต้น ระยะเวลา 6 เดือน ที่มีสัดส่วนราว 20% ของสินเชื่อรวม จะทยอยครบกำหนดในไตรมาส 4/63 ซึ่งภายหลังการครบกำหนดคาดว่าTISCO จะมีการพิจารณาปรับโครงสร้างหนี้ให้กับลูกหนี้เป็นราย ๆ ไป ทำให้ยังมีความเสี่ยงที่ผลการดำเนินงานอยู่
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าด้วยระดับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งหมดต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Capital Adequacy Ratio: CAR) ที่ 22.6% และอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 ต่อสินทรัพย์เสี่ยง (Tier-1 Ratio) ที่ 18% ถือว่าสูงมากเมื่อเทียบกับเกณฑ์ขั้นต่ำ จึงเป็นไปได้ที่ TISCO จะยังจ่ายปันผลได้ โดยคาดจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลอยู่ที่ 8% แต่การจ่ายปันผลที่แน่นอนต้องรอดูผลการประเมิน Stress Test จาก ธปท.ก่อน
บทวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า TISCO มีความมั่นใจในคุณภาพสินทรัพย์และระดับเงินกองทุนที่พอเพียง โดยระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 (Tier I) ที่ 18% และ NPL Coverage ที่ 196% จะช่วยให้ธนาคารรักษาอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูงและลดความเสี่ยงด้านผลประกอบการ
ทั้งนี้ คุณภาพสินทรัพย์ไตรมาส 3/63 ดีขึ้น หรือสูงกว่าประมาณการที่ 13% จากอัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่สูงกว่าคาด และ NPL รวมลดลง 21% นำโดยสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อเงินสดแลกรถยนต์ และสินเชื่อลูกค้าองค์กร ขณะที่ NPL Ratio ลดลงเหลือ 2.63% จาก 3.28% ในไตรมาส 2/63 เนื่องจากกระบวนการติดตามหนี้ที่ดีขึ้นหลังมาตรการล็อกดาวน์
สำหรับไตรมาส 4/63 คาดว่า NPL จะเพิ่มขึ้น จากไตรมาสก่อนหน้า หลังจากสิ้นสุดโครงการบรรเทาหนี้ของ ธปท. ธนาคารระบุว่าลูกค้าที่อยู่ภายใต้โครงการบรรเทาหนี้คิดเป็น 24% ของเงินกู้ทั้งหมด จากทั้งหมด 85% สามารถกลับไปใช้หนี้ได้ในระดับปกติ ขณะที่ 8% ขอปรับโครงสร้างหนี้และส่วนที่เหลือมีความเสี่ยงที่จะเปลี่ยนเป็น NPL
นอกจากนี้ คาด NIM จะอยู่ในระดับสูงเนื่องจากต้นทุนของกองทุนจะลดลงอีกในไตรมาส 4/63 รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย Non-NII น่าจะเติบโตกว่าไตรมาส 3/63 จากผลกระทบตามฤดูกาลของงานมอเตอร์โชว์และค่าธรรมเนียมจูงใจที่ดีขึ้นจากการบริหารสินทรัพย์ ธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อในไตรมาส 4/63 จะทรงตัวจากไตรมาสก่อน
ส่วนการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ การแข่งขันโดยรวมยังคงรุนแรง เนื่องจากธนาคารบางแห่งเสนอโปรโมชันเชิงรุกเพื่อชิงส่วนแบ่งการตลาด ขณะที่ TISCO ยังคงระมัดระวังในมาตรฐานการปล่อยเงินกู้และมุ่งเน้นไปที่การทำกำไรมากกว่าการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อ ทั้งนี้เงินกู้ต่อมูลค่าสำหรับการปล่อยสินเชื่อเงินสดแลกรถยนต์ลดลงเหลือ 65% ในไตรมาส 2/63 และเพิ่มขึ้นเป็น 75% ในไตรมาส 3/63 เทียบกับ 85% ก่อนโควิด-19
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ได้ปรับประมาณการกำไรทั้งปี 63 ของ TISCO ขึ้น หลังกำไร 9 เดือนแรกของปีนี้ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งผลประกอบการ 9 เดือนคิดเป็น 79% ของประมาณการกำไรทั้งปี จึงปรับประมาณการทั้งปีขึ้นจากเดิม 5.8% ภายใต้สินเชื่อทั้งปีที่คาดว่าจะหดตัวลง 4% เมื่อเทียบกับปีก่อนเท่าประมาณการเดิม ขณะที่ปรับ NIM ขึ้น 9 bps.เป็น 4.55% และปรับลดสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) เพราะการตั้งสำรองที่ค่อนข้างมากไว้ก่อนแล้ว
โดยคาดกำไรทั้งปี 63 จะอยู่ที่ 5,932 ล้านบาท ลดลง 18% จากปีก่อน และมองปี 64 จะมีกำไรที่ฟื้นตัวขึ้นมาที่ 6,575 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% จากปี 63 ตามภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้นตามลำดับ
"เรายังชอบ TISCO มากสุดในกลุ่มธนาคาร จากความสามารถในการทำกำไรที่สูงสุดในระบบ ล่าสุดมี ROE ที่ระดับ 15% บวกกับมีเงินกองทุนที่แข็งแกร่งสุดในระบบที่ 22.6%, Tier I ที่ 18% รวมถึงมี Coverage ratio ที่สูงสุดในระบบด้วย นอกจากนี้ยังถือเป็นธนาคารที่มีการจ่ายปันผลในอัตราที่สูงถึง 9.1% ราคาที่ปรับลงมามากจนมี upside ถือเป็นโอกาส ทยอยซื้อ"บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุ