นายชาญชัย กงทองลักษณ์ กรรมการอำนวยการ กลุ่ม บล.ทรีนีตี้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน รวมทั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ (LEO) ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจรครอบคลุมทั่วโลก เปิดเผยว่า LEO กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 120 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 3.42 บาท ซึ่งถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่สอดคล้องกับสภาวะของตลาดหลักทรัพย์ฯในปัจจุบัน และกำหนดเปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 28-30 ต.ค.63 และคาดจะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 5 พ.ย.63
ทั้งนี้ บริษัทจะใช้ชื่อย่อในการซื้อขายว่า LEO และเข้าเทรดในหมวดธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ โดยการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ ได้แต่งตั้งบล.โนมูระ พัฒนสิน ,บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) , บล.ฟินันเซีย ไซรัส และ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย
สำหรับการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ จะทำให้บริษัทเข้าถึงแหล่งเงินทุน เพื่อนำมาต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในอุตสาหกรรมการการให้บริการโลจิสติกส์ได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต โดยมั่นใจว่าการขายหุ้น IPO จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นหุ้นที่อยู่ในธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ แม้จะเกิดภาวะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่หลายธุรกิจทั่วโลกกำลังได้รับผลกระทบ
ด้านนายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ รองประธานคณะกรรมการบริษัท ประธานคณะผู้บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LEO กล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำเงินไปลงทุนในธุรกิจ Leo Self Storage และ E-Fulfillment Center จำนวน 2 โครงการ, นำเงินไปพัฒนาระบบขนส่งผ่านแดนไปยังประเทศเมียนมา, นำเงินไปขยายพื้นที่บริการรับฝากตู้สินค้าคอนเทนเนอร์ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และเป็นเงินทุนเข้าร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศและกลุ่มอาเซียน เพื่อให้บริษัทเติบโตอย่างมั่งคงและสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหุ้น
สำหรับผลดำเนินการของบริษัท ในช่วงปี 60-62 มีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 268.06 ล้านบาท 282.70 ล้านบาท และ 312.43 ล้านบาท ในขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกปี 63 มีกำไรขั้นต้น 155.26 ล้านบาท ลดลงจาก 169.97 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และกำไรสุทธิในช่วงปี 60-62 เท่ากับ 17.75 ล้านบาท 26.86 ล้านบาท และ 47.03 ล้านบาท ตามลำดับ
ส่วนงวดครึ่งแรกปี 63 มีกำไรสุทธิ 28.25 ล้านบาท ลดลง 7.09 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์โควิด-19 แต่หลังจากรัฐบาลคลายล็อกมาตรการต่าง ๆ ธุรกิจก็เริ่มฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 2/63 คาดว่าจะส่งผลดีกับธุรกิจโลจิสติกในภาพรวมและบริษัทด้วยเช่นกัน
แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 63 บริษัทคาดว่าน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 62 ที่มีรายได้รวม 1,047 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 47 ล้านบาท โดยโครงสร้างรายได้จะมาจาก 4 กลุ่ม ได้แก่ 1.บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางทะเล (Sea Freight) มีสัดส่วน 69%, 2.บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทางอากาศ (Air Freight) สัดส่วน 19% และ 3. บริการสนับสนุนการให้บริการโลจิสติกส์และการขนส่งสินค้าแบบครบวงจร (Integrated Logistics Services หรือ ILS) สัดส่วน 16% และ 4.บริการพื้นที่สำหรับเก็บของ (Leo Self Stroage หรือ LSS) สัดส่วน 0.59%