นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างเคลื่อนไหวในแดนลบกัน แต่ยังน้อยกว่าตลาดสหรัฐ และตลาดในยุโรปที่ร่วงไป 3-4% จากความกังวลสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อเร่งตัวขึ้นในสหรัฐ และยุโรป จนทำให้หลายประเทศระวังและลดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ จึงวิตกจะกระทบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ นักลงทุนได้ปรับพอร์ตการลงทุนก่อนรู้ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ แม้ขณะนี้จะเชื่อว่านายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐ และเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตในการชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ มีโอกาสที่จะชนะ แต่นโยบายของนายไบเดน ในเรื่องการปรับขึ้นภาษีนิติบุคคลไม่เป็นที่ถูกใจมากนัก และตลาดสหรัฐก็ Outperform มานานแล้วทำให้นักลงทุนเลือกที่จะขายทำกำไรออกมาก่อน ส่วนการที่ตลาดในเอเชียปรับตัวลงได้น้อยกว่าตลาดสหรัฐ และตลาดในยุโรป อาจเป็นเพราะมองว่ามีโอกาสที่เม็ดเงินจะไหลเข้าเอเชียหลังการเลือกตั้งในสหรัฐ
สำหรับบ้านเราให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 3/63 ซึ่งขณะนี้เริ่มเห็นการปรับเพิ่มประมาณการของหุ้นขนาดใหญ่เข้ามาบ้างแล้ว หากเป็นเช่นนี้น่าจะทำให้เห็นแรงขายหุ้นขนาดกลาง และเล็กได้ ซึ่งเป็นลักษณะของการหมุนกลุ่มเล่น
พร้อมให้แนวรับ 1,190-1,180 จุด ส่วนแนวต้าน 1,210 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (28 ต.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 26,519.95 จุด ร่วงลง 943.24 จุด ( -3.43%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,271.03 จุด ลดลง 119.65 จุด (-3.53%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,004.87 จุด ลดลง 426.48 จุด (-3.73%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 33.48 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 247.75 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 418.79 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 106.11 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ลดลง 32.92 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 12.38 จุด
ส่วนตลาดหุ้นมาเลเซีย ปิดทำการในวันนี้
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (28 ต.ค.63) 1,207.94 จุด ลดลง 1.01 จุด (-0.08%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 3,382.01 ล้านบาท เมื่อวันที่ 28 ต.ค.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (28 ต.ค.63) ปิดที่ 37.39 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.18 ดอลลาร์ หรือ 5.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (28 ต.ค.63) อยู่ที่ 1.48 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 31.26/28 อ่อนค่าจากวานนี้ ให้กรอบวันนี้ 31.22-31.32
- นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานส่งเสริมเศรษฐกิจ เชื่อมโยงคมนาคม รฟท.ลงนามสัญญา 2.3 วงเงิน 5 หมื่นล้าน วางระบบราง ระบบรถไฟฟ้า จัดหาขบวนรถ 5 หมื่นล้าน ด้านไฮสปีดเทรนเชื่อม 3 สนามบิน เล็งขยายงบเวนคืน 3 พันล้าน หวังเคลียร์ปัญหาเวนคืนที่ดินช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา ครบ 923 ไร่ ทันส่งมอบไม่เกิน ต.ค.64
- ครม.อนุมัติขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉิน 1 เดือน ถึงสิ้นเดือน พ.ย. 63 เพื่อควบคุมโควิด-19 พร้อม เห็นชอบประกาศ มท. ไฟเขียว 'เรือยอชต์-เรือสำราญ' เข้าไทย กระตุ้นท่องเที่ยว พร้อมไฟเขียวอีก 4 โครงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ศบค.รายงานพบผู้ป่วย 'โควิด' ใหม่ 13 ราย ในสถานกักกัน เดินทางมาจากต่างประเทศ
- "สุริยะ" เผยดัชนีเอ็มพีไองวด ก.ย.63 ขยายตัวเป็นเดือนที่ 5 แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน มั่นใจภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเริ่มดีขึ้นใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด พร้อมหันมาเน้นการบริโภคในประเทศ พาณิชย์เผยไฟเขียวต่างชาติลงทุน ต.ค. 22 ราย นำเงินเข้า 1,074 ล้าน จ้างงานคนไทย 138 คน
- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยผลสำรวจความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจของภาคธุรกิจต่อสถานการณ์ปัจจุบัน สำรวจระหว่างวันที่ 20-22 ต.ค. ว่า ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อธุรกิจอันดับ 1 คือ ปัญหาโควิด-19 รองลงมา คือ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ สถานการณ์ทางการเมือง สภาพคล่องทางการเงิน โดยผู้ประกอบการ 28.33% มองว่า ธุรกิจมีความเสี่ยงมากถึงขั้นปิดกิจการ และจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบัน ผู้ประกอบการมองว่า สามารถประคองธุรกิจได้นานเฉลี่ยไม่เกิน 4.6 เดือน โดยรายย่อย หรือเอส อยู่ได้ไม่เกิน 4.3 เดือน ขนาดกลาง หรือเอ็ม ไม่เกิน 4.9 เดือน ขนาดใหญ่ หรือแอล ไม่เกิน 5.1 เดือน
*หุ้นเด่นวันนี้
- SFT (บมจ.ชริ้งเฟล็กซ์ (ประเทศไทย)) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยราคาขาย IPO 3.80 บาท/หุ้น ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส (เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่าย) ประเมินราคาเป้าหมายที่ 5 บาท โดยคาดกำไรสุทธิปี 2563-2565 เติบโตเฉลี่ย 26.3% CAGR บริษัทฯเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายฟิล์มหดรัดรูปซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี มีลูกค้าหลักคือกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มซึ่งเติบโตแข็งแกร่ง โดยเฉพาะกลุ่ม Functional Drink ซึ่งเป็นกระแสนิยมในปัจจุบัน ทำให้ SFT ได้อานิสงส์เชิงบวกจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น ส่วนการลงทุนโรงงานใหม่ซึ่งจะแล้วเสร็จปี 2565 จะหนุนการเติบโตระยะยาว ปลดล็อก Utilization Rate ที่คาดว่าใกล้เต็มในปี 2564
- MTC (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า IAA Consensus 67 บาท หนึ่งเดียวในตลาดที่กำไรสุทธิทำ All time high ได้ทุกไตรมาส โดย Q3/63 Consensus คาดมีกำไรสุทธิประมาณ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3%qoq และ 30%yoy
- JWD (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 10 บาท คาดกำไรปกติ Q3/63 กลับมาเกือบเป็นปกติ +46% Q-Q, -6% Y-Y และยังมีโมเมนตัมฟื้นตัวต่อเนื่องใน Q4/63 และเป็นจุดสูงสุดของปี คาดกำไรปี 2563 -19% Y-Y ก่อนฟื้นตัว +22% Y-Y ในปี 2564 โดยชอบศักยภาพการเติบโตระยะยาวจากการวางรากฐานในหลายประเทศในเอเชีย และ Logistic เป็นกระดูกสันหลังจองหลายธุรกิจ ราคาหุ้นยังใกล้ฐานแนวรับ 6.80-7 บาท ขณะที่ Valuation ซื้อขายที่ EV/EBITDA ราว 11.6 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ราว 20 เท่า