บมจ.ซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์(CVD)เผย"ประชา มาลีนนท์"นั่งแท่น MD ใหม่เต็มตัว วางเป้าหมายชัดเจนเป็น Full Media and Home Entertainment ศึกษาแนวทางลงทุนใหม่หลากหลายรูปแบบเพื่อหาธุรกิจเข้ามาเสริม รวมถึงการมองหาพันธมิตรเข้ามาเพิ่ม
ด้านแนวโน้มผลประกอบการปีนี้ยังไม่ชัดเจน หลัง Q1-Q2/50 กำไรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยยอมรับว่าการหมดสัญญากับค่ายหนังต่างประเทศหลายรายทำให้รายได้หด จนต้องหันมาเน้นการบริหารต้นทุนแทน แต่ก็อยู่ระหว่างเจรจากับค่ายหนังต่างประเทศรายใหม่ๆ หวังให้เข้ามเสริมช่องทางสร้างรายได้ที่ปัจจุบันมีน้อยเพราะเหลือแค่สัญญากับค่ายโซนี่ พิคเจอร์สเพียงเจ้าเดียว กับละครและซีรี่ส์ต่างประทศที่เป็นลิขสิทธิ์ของช่อง 3
"เราจะไม่จำกัดตัวเองเฉพาะทางด้านโฮมเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ แต่จะอยู่ในกลุ่มสื่อและบันเทิงทั้งหมด แต่ยังไม่สามารถระบุเวลาที่ชัดเจนในการปรับตัวได้ เพราะขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย"แหล่งข่าว กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"ถึงนโยบายของนายประชา ในฐานะตัวแทนของ บมจ.บีอีซีเวิลด์(BEC)และกลุ่มมาลีนนท์ ที่ถือหุ้นใหญ่รวมกันราว 42.19%
ส่วนในแง่ของการลงทุนก็จะดำเนินการตามขั้นตอน โดยขณะนี้อยู่ในขั้นของการศึกษารูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการหาพันธมิตร แต่ในรายละเอียดยังไม่สามารถเปิดเผยได้ในขณะนี้ ซึ่งหากมีความชัดเจนเมื่อใดก็จะเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณา
แหล่งข่าว กล่าวว่า ขณะนี้บริษัทเหลือสัญญาลิขสิทธิ์กับบริษัทภาพยนตร์ต่างประเทศ คือ โซนี่ พิคเจอร์สเพียงค่ายเดียวเท่านั้น ส่วนค่ายอื่นๆ อย่างทเวนตี้ เซ็นจูรี่ ฟอกซ์ และ บัวนา วิสต้า หมดสัญญาไปตั้งแต่เดือน ก.ย.และ ธ.ค.2549 ตามลำดับ มีผลทำให้ยอดขาย รายได้ และกำไรหดหายไป เหลือเพียงรายได้จากละคร ซีรี่ส์ และภาพยนตร์ต่างประเทศที่เป็นลิขสิทธิ์ช่อง 3 ทำให้พอประคับประคองตัวไปได้
แต่ถึงกระนั้นบริษัทก็ต้องบริหารต้นทุน ค่าใช้จ่ายเพื่อให้สอดคล้องกับรายได้ที่มีอยู่ในระหว่างที่ยังหาธุรกิจใหม่เข้ามาเสริมไม่ได้ และการเจรจากับค่ายหนังต่างๆ ยังต้องใช้เวลา
"การเราเหลือค่ายหนังต่างประเทศเพียงค่ายเดียวก็เป็นธรรมดาที่ยอดขายจะต้อง Drop ลง เราก็ต้องพยายาม Manage ในเรื่องของต้นทุนกับค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้ Cover กับรายได้ที่มีอยู่"แหล่งข่าว กล่าว
อนึ่ง ปัจจุบันรายได้ของ CVD มาจากลิขสิทธิ์ของโซนี่ พิคเจอร์ส 70% ส่วนอีก 30% มาจากรายการละครและซีรี่ส์ของช่อง 3 รวมถึงหนังจีนของ TVB ที่ซื้อ CVD ซื้อลิขสิทธิ์มาผลิตลงแผ่นเอง
สำหรับผลการดำเนินงาน Q1/50 มีกำไรสุทธิ 1.54 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.05 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 11.29 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.35 บาท
ส่วน Q2/50 กำไรสุทธิ 3.57 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.11 บาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 6.54 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.20 บาท
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--