บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ. ซีเค พาวเวอร์ (CKP) ที่ระดับ "A" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ "A-" พร้อมกันนี้ ทริสเรทติ้ง ยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 4 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "A-" ด้วย ทั้งนี้ บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่เพื่อหมุนเวียนในกิจการและใช้สำหรับการลงทุนของบริษัท
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงผลงานของบริษัทในการพัฒนาและดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดใหญ่ ตลอดจนกระแสเงินสดรับที่คาดการณ์ได้จากการมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Power Purchase Agreement -- PPA) กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) (ได้รับอันดับเครดิต "AAA/Stable" จากทริสเรทติ้ง) และประวัติการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตดังกล่าวยังมีข้อจำกัดจากความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำอยู่
บริษัทมีผลการดำเนินงานต่ำกว่าที่ทริสเรทติ้งประมาณการในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 โดยบริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 1.43 พันล้านบาทคิดเป็นประมาณ 35% ของประมาณการทั้งปีที่ทริสเรทติ้งประมาณการในครั้งก่อน เนื่องจากการดำเนินงานที่อ่อนแอของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำน้ำงึม 2 (โครงการน้ำงึม 2) เป็นหลัก ในขณะที่โรงไฟฟ้าอื่น ๆ ของบริษัทมีผลการดำเนินงานเป็นไปตามที่ทริสเรทติ้งประมาณการ
ผลการดำเนินงานของโครงการน้ำงึม 2 คิดเป็นส่วนใหญ่ของกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัท ซึ่งผลการดำเนินงานที่อ่อนแอของโครงการน้ำงึม 2 เป็นผลจากปริมาณน้ำในเขื่อนที่อยู่ในระดับต่ำในต้นปี 2563 นอกจากนี้ ปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่เขื่อนของโครงการน้ำงึม 2 ในช่วงปี 2562-2563 อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ส่งผลให้โครงการน้ำงึม 2 ประกาศผลิตไฟฟ้าประมาณ 409 ล้านหน่วยในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 ลดลง 60% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตไฟฟ้าที่ลดลงนั้นสะท้อนให้เห็นถึงแผนของบริษัทที่จะกักเก็บน้ำให้เพียงพอสำหรับการดำเนินงานในปี 2564 โดย ณ เดือนกันยายน 2563 ระดับน้ำในเขื่อนของโครงการอยู่ที่ 365.6 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยบริษัทคาดว่าจะกักเก็บน้ำให้อยู่ที่ระดับ 369 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลภายในสิ้นปี 2563 ซึ่งปริมาณน้ำ ณ ระดับดังกล่าวคาดว่าจะเพียงพอสำหรับการผลิตไฟฟ้าตลอดช่วงฤดูแล้งของปี 2564
โครงการน้ำงึม 2 ได้รับการยกเว้นการดำรงความพร้อมจ่ายขั้นต่ำตลอดปี 2563 เนื่องจากโครงการได้ประกาศเป็นปีแล้งสำหรับการดำเนินงาน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 โครงการน้ำงึม 2 ได้ประกาศการผลิตไฟฟ้าจำหน่าย 814 ล้านหน่วย ทริสเรทติ้งคาดว่าโครงการน้ำงึม 2 น่าจะสามารถผลิตไฟฟ้าได้ประมาณ 850-950 ล้านหน่วยสำหรับปี 2563
ดังนั้นทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายประมาณ 2.5-3.0 พันล้านบาทในปี 2563 และเพิ่มขึ้นเข้าสู่ระดับปกติที่ประมาณ 4.5-5.0 พันล้านบาทในปี 2564 เป็นต้นไป ทริสเรทติ้งประมาณการอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายของบริษัทจะเกินกว่า 7 เท่าเป็นการชั่วคราวในปี 2563 ก่อนจะลดลงเป็น 4-5 เท่าในปี 2564
แนวโน้มอันดับเครดิต
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนถึงการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับกระแสเงินสดที่มีเสถียรภาพจากการลงทุนในระยะยาว โครงการน้ำงึม 2 จะสามารถบริหารจัดการให้กระแสเงินสดฟื้นตัวได้ ในขณะที่โรงไฟฟ้าอื่น ๆ ของบริษัทจะสามารถดำเนินงานได้ตามเป้าหมาย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าโครงการไซยะบุรีจะสามารถให้ผลตอบแทนได้ตามที่คาดหมาย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
โอกาสที่บริษัทจะได้รับการปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้านั้นมีค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ปัจจัยที่อาจมีผลต่อการลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าของบริษัท โดยเฉพาะโครงการน้ำงึม 2 ที่อ่อนแอลงไปอีก หรือโครงการไซยะบุรีมีผลการดำเนินงานไม่เป็นไปตามที่คาดอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ การลงทุนขนาดใหญ่โดยใช้เงินกู้เป็นหลักซึ่งส่งผลให้สถานะการเงินของบริษัทอ่อนแอลงก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจมีผลต่อการปรับลดอันดับเครดิตลงด้วยเช่นกัน