"Weekly Highlight" สัปดาห์นี้ (2-6 พ.ย.) มาเจาะลึกกับข่าวสารสำคัญ ในรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563
เริ่มต้นกับการสรุปภาพรวมตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่แล้ว (26-30 ต.ค.) SET INDEX ปรับตัวลดลงหลุด 1,200 จุด มาปิดที่ระดับ 1,194.95 จุด ลดลง 1.54% จากสัปดาห์ก่อน ขณะที่ภาพรวม SET INDEX ตลอดทั้งเดือนตุลาคมปรับลดลงเฉลี่ยกว่า 3.4% โดยกลุ่มหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ กลุ่มวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร ลดลง 20.3% รองลงมาคือกลุ่มการท่องเที่ยวและโรงแรม ลดลง 10.8% และสุดท้ายคือกลุ่มกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (PF&REIT) ลดลง 10.5%
แม้ว่าในสัปดาห์สุดท้ายของตุลาคมตลาดหุ้นไทยยังคงเผชิญกับแรงขายอย่างต่อเนื่อง ฉุดภาพรวมดัชนีฯปรับตัวหลุดแนวรับสำคัญที่ 1,200 จุด เป็นไปตามนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความเสี่ยงรอบด้านที่ยังไม่เห็นสัญญาณเชิงบวก กลายเป็นแรงกดดันความเชื่อมั่นของผู้ลงทุนต่อเนื่องมาในเดือนพฤศจิกายนด้วย
สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่นักวิเคราะห์ให้ความสำคัญ คงหนีไม่พ้นประเด็นร้อนช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 3 พฤศจิกายน โดยเบื้องต้นเริ่มตั้งข้อสังเกตพฤติกรรมของผู้ลงทุนส่วนใหญ่ที่คาดเดาว่านายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครต มีโอกาสคว้าชัยเหนือนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งเป็นคู่ชิงจากพรรครีพับลิกัน สะท้อนจากการปรับตัวลดลงของราคาในตลาดสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก สอดคล้องกับมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนที่วิเคราะห์ท่าทีแนวทางการบริหารของ นายโจ ไบเดน ว่าจะเป็นผลลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐตามแผนปรับขึ้นภาษีและมาตรการที่เข้มงวดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันก็เริ่มมองเป็นโอกาสเชิงบวกต่อตลาดหุ้นเกิดใหม่ โดยเฉพาะในแถบภูมิภาคเอเชีย ที่อาจสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาดหุ้นในประเทศที่พัฒนาแล้ว จากท่าทีประนีประนอมทำให้เปิดโอกาสร่วมมือกับประเทศแถบเอเชีย เพื่อคานอำนาจกับประเทศจีน แทนที่จะใช้นโยบายภาษีที่เป็นชนวนสงครามการค้าที่ปะทุขึ้นมาในยุคสมัยนายโดนัลด์ ทรัมป์
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีโอกาสจะแกว่งตัวในทิศทางขาลง และนอกเหนือจากประเด็นการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐแล้วที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดแล้ว การแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ที่เริ่มส่งสัญญาณระบาดหนักขึ้นอีกระลอกในหลายประเทศทั่วโลก อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการทรุดตัวของเศรษฐกิจโลกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 เช่นเดียวกับปัญหาการเมืองในประเทศหากสถานการณ์ยกระดับขึ้นเป็นความรุนแรง มีโอกาสดัชนีตลาดหุ้นไทยจะไหลลงไปทดสอบ 1,150 จุดได้เช่นกัน
สอดคล้องกับมุมมอง บล.กสิกรไทย ประเมินภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีแนวรับที่ 1,185 และ 1,170 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,205 และ 1,215 จุดตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ประเด็นทางการเมือง และผลประกอบการไตรมาส 3/63 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของไทยตลอดจนผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และความคืบหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐ ประเด็นการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงานเดือนต.ค.ของสหรัฐฯ รวมถึงดัชนี PMI Composite เดือนต.ค. ของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีนและยูโรโซน
ด้านธนาคารกสิกรไทย ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทสัปดาห์นี้อยู่ที่ 31.10-31.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ และธนาคารกลางอังกฤษรวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญระหว่างสัปดาห์ ได้แก่ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP ดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตและภาคบริการเดือนต.ค. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนก.ย. นอกจากนี้ตลาดอาจรอติดตามดัชนี PMI เดือนต.ค. ของจีน ยุโรป และอังกฤษด้วยเช่นกัน
"กรอบการแข็งค่าของเงินบาทยังเป็นไปอย่างจำกัดเนื่องจากนักลงทุนยังคงรอติดตามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นทั้งในยุโรปและสหรัฐฯความไม่แน่นอนในช่วงใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และปัจจัยทางการเมืองของไทยอย่างใกล้ชิด"บทวิจัยธนาคารกสิกรไทย ระบุ
https://youtu.be/1JRMHbWfqpQ