นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือน พ.ย.ว่า มีแนวโน้มดีกว่าเดือน ต.ค.หลังดัชนีปรับลดลงมาพอสมควรแล้ว คาด SET Index จะสร้างฐานในช่วงต้นเดือนก่อนทยอยปรับขึ้นในช่วงที่เหลือของเดือนนี้ โดยมีเป้าหมายระดับดัชนีที่ 1,250 จุด อิงกรอบ Forward PE กรณีฐานที่ 15.7 เท่า ส่วนแนวรับสำคัญประเมิน ที่บริเวณ 1,160 จุด อิงกรอบ Forward PE กรณีแย่สุดที่ 14.6 เท่า
"ด้วยระดับ Upside ที่เป็นต่อ Downside ในปัจจุบัน มองว่า ณ ขณะนี้ไม่ใช่จังหวะของการลดพอร์ตการลงทุนแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ถือเงินสดในระดับที่สูงแล้ว ส่วนการเข้าซื้อ ยังคงแนะโฟกัสไปที่หุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น หลัง Valuation ของกลุ่มนี้ลงมาค่อนข้างลึก สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอไปพอสมควร" นายณัฐชาตกล่าว
สำหรับธีมการลงทุนหุ้นในเดือน พ.ย คือ 1.การสะสมหุ้นใหญ่เข้าพอร์ต แนะนำ 6 หุ้น ประกอบด้วย 1. SCC เพราะ Spread ของ HDPE มีโอกาสฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากความต้องการซื้อจากประเทศจีนและราคาน้ำมันดิบที่อ่อนตัวลง 2. DELTA หุ้นเทคโนโลยีตัวเลือกแรกๆ ของหุ้นไทยรวมทั้งมีโอกาสเข้าคำนวณในดัชนี SET50 และSET100 ในรอบถัดไป รวมถึงการเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Standard Index ที่จะมีการปรับ ในเดือนนี้ 3. CPF ราคาหุ้นลดลงมาแรงจน Valuation น่าสนใจ โดย Forward PE ลดลงมาเทียบเท่าช่วงวิกฤติโควิด-19 แล้ว
4. HMPRO เป็นหุ้นที่ได้อานิสงส์จากมาตรการภาครัฐ "ช้อปดีมีคืน" รวมทั้งการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 5. STGT หุ้นที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3-4 ไตรมาสข้างหน้า และยังได้อานิสงส์จากการกลับมาระบาดของโควิด-19 ที่มากขึ้น รวมถึงความเป็นไปได้ในการเข้าคำนวณดัชนี MSCI 6. BAM ในช่วงครึ่งปีหลังกำไรน่าจะฟื้นตัวมาได้และมีกระแสเงินสดเข้ามามากขึ้น รวมถึงยังมีโอกาสที่จะเข้าคำนวณในดัชนี SET50 และ SET100 ด้วยเช่นกัน
ธีมลงทุนที่ 2 คือลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ "ช้อปดีมีคืน" ได้แก่ กลุ่มค้าปลีกและกลุ่มบัตรเครดิต เช่น HMPRO, COM7 และ KTC ในส่วนของธีมที่ 3 คือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ Social distancing ในต่างประเทศ ซึ่งส่งผลให้มีการจำกัดการเดินทางและเพิ่มการใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์คือ ASIAN, XO, และ PTL
นายณัฐชาต กล่าวว่า กลุ่มหุ้นที่แนะนำให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงในช่วงนี้ยังคงได้แก่ หุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ทั้งสนามบิน สายการบิน โรงแรม รวมถึงโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนผู้ป่วยต่างชาติ เนื่องจากเป็นผู้ที่เสียประโยชน์โดยตรงจากการระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ รวมไปถึงหุ้นในกลุ่มน้ำมันและก๊าซฯทั้งฝั่งต้นน้ำและปลายน้ำ เนื่องจากอุปสงค์ที่มีต่อเชื้อเพลิงต่าง ๆ น่าจะยังชะลอตัวต่อไป ตราบใดที่หลายประเทศยังบังคับใช้มาตรการ Lockdown อยู่
สำหรับการเลือกตั้งสหรัฐฯที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น ประเมินว่าไม่ว่าผลลัพธ์การเลือกตั้งจะออกมาเช่นไร คาดว่าจะมี Relief rally เกิดขึ้นสำหรับตลาดหุ้นทั่วโลกได้ จากความชัดเจนของภาพการเมืองสหรัฐฯ ที่มีมากขึ้น แต่หากผลออกมาเป็นไปตามที่โพลหลายสำนักบ่งชี้ล่าสุด ที่ให้ความน่าจะเป็นกับกรณี Blue wave มากที่สุด (กรณีที่นายโจ ไบเดน ผู้ชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต ชนะพร้อมกับเสียงข้างมากของเดโมแครตทั้งในสภาสูงและสภาล่าง) คาดจะทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ (EM) ปรับตัวรีบาวด์ได้ดีกว่าทางฝั่งของตลาดหุ้นสหรัฐฯ จากเม็ดเงิน Fund flow ส่วนหนึ่งที่ไหลออกมาจากความกังวลการขึ้นภาษีในสหรัฐฯ เป็นสำคัญ
นอกจากนั้น ในกรณี Blue wave นี้ จะทำให้การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการคลังขนานใหญ่ของสหรัฐฯ มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯต้องออกพันธบัตรเพื่อกู้เงินในระดับสูงด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ Bond Yield สหรัฐฯมีโอกาสปรับตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้ Bond yield ของหลายประเทศอื่นรวมถึงไทยปรับตัวขึ้นตาม จึงแนะหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์หรือหุ้นที่เคยเป็นทางเลือกในช่วงดอกเบี้ยต่ำ เช่น พร็อพเพอร์ตี้ฟันด์ REIT กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค กลุ่มที่อยู่อาศัย และกลุ่มสื่อสาร เป็นต้น