นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะรีบาวด์ขึ้นได้ต่อเนื่องจากเมื่อวานนี้ เป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่เคลื่อนไหวในแดนบวกราว 1% เช่นเดียวกับตลาดสหรัฐฯ และตลาดในยุโรปที่บวกได้ หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่ นายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต จะชนะการเลือกตั้งในครั้งนี้ อย่างไรก็ดีมองว่าตลาดฯยังมีโอกาสผันผวนได้อยู่เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรครีพับลิกัน อาจจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง
ส่วนตลาดบ้านเราอาจได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มพลังงานหลังราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น 4% จากที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 8 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 30 ต.ค. ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 600,000 บาร์เรล แสดงให้เห็นถึงตลาดน้ำมันมีการฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งทางกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส จะประชุมในปลายเดือนนี้ ซึ่งประเด็นการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันอาจถูกเลื่อนออกไป จากความกังวลการล็อกดาวน์ของยุโรป และเชื่อว่าเมื่อนายไบเดน เข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐแล้วจะสามารถแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ได้ดีขึ้น
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 3/63 และติดตามผลการเลือกตั้งสหรัฐต่อไป รวมถึงสัปดาห์หน้าให้ติดตามการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ซึ่งจะทำการปรับน้ำหนักในวันที่ 10 พ.ย. และไทยจะทราบผลในวันที่ 11 พ.ย.นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,215-1,210 จุด ส่วนแนวต้าน 1,232-1,236 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (4 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,847.66 จุด เพิ่มขึ้น 367.63 จุด (+1.34%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,443.44 จุด เพิ่มขึ้น 74.28 จุด (+2.20%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,590.78 จุด เพิ่มขึ้น 430.21 จุด (+3.85%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 28.14 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 80.97 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 614.77 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 10.11 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 16.09 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 27.93 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 4.25 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (4 พ.ย.63) 1,222.44 จุด เพิ่มขึ้น 1.11 จุด (+0.09%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,842.06 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 พ.ย.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (4 พ.ย.63) ปิดที่ 39.15 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.49 ดอลลาร์ หรือ 4%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (4 พ.ย.63) อยู่ที่ 1.07 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.99 แข็งค่าจากเย็นวานนี้ หลังโจ ไบเดน ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครต มีลุ้นคว้าชัยประธานาธิบดีสหรัฐ
- บอร์ดบีโอไอ อัดมาตรการชุดใหญ่กระตุ้นลงทุนส่งท้ายปี 63 ปลุกลงทุนกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าครอบคลุมทุกประเภท หวังส่งเสริมผู้ประกอบการปรับปรุงประสิทธิภาพสู่ความยั่งยืน พร้อมเพิ่มประเภทกิจการใหม่ดันไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพ รองรับสังคมผู้สูงอายุ พร้อมอนุมัติ 6 โครงการรวดมูลค่าเฉียด 3.57 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอด 9 เดือนแรกยอดขอรับการส่งเสริมแตะ 2.23 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อน 15%
- สภาธุรกิจตลาดทุนไทย คาดปีหน้าเม็ดเงินต่างชาติไหลกลับลงทุนตลาดหุ้นไทย หลังกระหน่ำขายปีนี้กว่า 3 แสนล้านบาท เหตุเศรษฐกิจทั่วโลกฟื้น-โบรกเกอร์อัพกำไรบจ. ชี้ 1,200 จุด เป็นแนวรับ ที่แข็งแกร่ง
- กกร.จับตาต่างชาติล็อกดาวน์ป้องกันโควิด-19 รอบสองกระทบเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ประมาณ 0.37-0.5% กัดฟันคงประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้ติดลบ 9-7% ตามเดิม หวังแรงส่งมาตรการกระตุ้นใช้จ่ายอัดฉีดเงินเข้าระบบประคองไว้
- นายกลินท์ สารสิน ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่า กกร. เตรียมเสนอให้รัฐบาลจัดตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐที่มีกระทรวงที่เกี่ยวข้องต่างๆ กับ กกร. ในเรื่องเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) เพื่อให้เกิดการเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศในอนาคต โดยอยากให้จัดตั้งขึ้นเร่งด่วนและเร็วที่สุด เพราะไม่อยากให้ไทยตกขบวนและเสียโอกาสในเวทีการค้าโลก
*หุ้นเด่นวันนี้
- LEO (บมจ.ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์) เทรดวันนี้วันแรก ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยมีราคาขาย IPO ที่ 3.42 บาท/หุ้น บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย คาดกำไรสุทธิปี 2563 +29% Y-Y และ +27% Y-Y ปีหน้า พร้อมประเมินราคาเป้าหมายที่ 4.44 บาท ทั้งนี้ บริษัทเป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจร จุดแข็งคือมีเครือข่ายพันธมิตรทั่วโลก ทีมขายมีความเชี่ยวขาญและมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้ามายาวนาน ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบในการรักษาฐานลูกค้า แม้ H1/63 จะได้รับผลลบจากโควิด-19 แต่การ Reopen ทำให้ความต้องการบริการขนส่งฟื้นตัวขึ้น
- TU (เคทีบีฯ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 16.5 บาท อยู่ในกลุ่มอาหารที่ยังเป็น trend ของตลาดอยู่ และผลการดำเนินงานออกมาดี โดย TU รายงานกำไร Q3/63 ที่ 2.06 พันล้านบาท +50% YoY, +20% QoQ ดีกว่าตลาดคาด 14% จากอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าคาดที่ 18.2% เนื่องจากการเพิ่มยอดขายสินค้าแบรนด์ในธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปที่มีอัตรากำไรสูง ในขณะที่ธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งมียอดขายฟื้นตัวขึ้นจากการคลายการปิดเมือง
- DCC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 2.90 บาท กำไร Q3/63 ดีกว่าคาด -7% Q-Q, +87% Y-Y จาก Margin ที่สูงกว่าคาดเพราะราคาขายเพิ่ม ขณะที่ต้นทุนพลังงานลด โดยคาดกำไรปี 2563 +46% Y-Y และ +4% Y-Y ปี 64 ยังเป็นหุ้นปันผลสูง 6-7% ต่อปี
- JWD (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า IAA consensus 9.5 บาท คาดกำไรสุทธิ Q3/63 ฟื้นตัว qoq จากการฟื้นตัวในทุกธุรกิจ (ห้องเย็น, รับฝากรถ, รับฝากสินค้าอันตราย) เนื่องจากกลุ่มลูกค้ากลับมาใช้บริการตามปกติหลังผ่านพ้นช่วย Lockdown