นายวสันต์ อิทธิโรจนกุล กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไพโอเนียร์ มอเตอร์ (PIMO) ชี้แจงผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/63 มีรายได้รวมอยู่ที่ 239.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.08 ล้านบาท หรือ 34.16% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 32.23 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.73 ล้านบาท หรือ 157.84% ส่วนช่วง 9 เดือนแรกของปี 63 มีรายได้รวม 587.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.23 ล้านบาท หรือ 14.46% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 62.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.15 ล้านบาท หรือ 190.77%
เนื่องจากความต้องการสินค้ามอเตอร์สระว่ายน้ำที่ส่งออกไปให้กับลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับบริษัทฯมีคำสั่งซื้อล่วงหน้าเข้ามาเต็มจนถึงสิ้นปีเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ยังได้เพิ่มประสิทธิภาพด้านความสามารถในการทำกำไร ทั้งการบริหารจัดการต้นทุน การควบคุมต้นทุน พัฒนานวัตกรรมในการผลิตอีกด้วย
"มอเตอร์สระว่ายน้ำของ PIMO คุณภาพถือว่าอยู่ในระดับต้นๆ เมื่อไปเทียบกับคู่แข่งเราไม่แพ้เขา อีกประการมอเตอร์ปั๊มน้ำเวลาไปใส่ในแบรนด์ของลูกค้าจะเป็นแบรนด์ของลูกค้าไม่ใช่แบรนด์เรา ซึ่งเราเรียกว่า OEM คนที่ซื้อก็จะเป็นรายใหญ่ เมื่อเขาเป็นรายใหญ่เขาก็ต้องคัดสรร มีมาตรการในการตรวจสอบมอเตอร์ที่หลากหลาย ซึ่งการทดสอบที่หลากหลายมันก็เป็นกำแพงที่กั้นคู่แข่งในเชิงของคุณภาพ" นายวสันต์ กล่าว
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้คาดว่าการเติบโตของบริษัทจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการพัฒนานวัตกรรมที่นำมาใช้สำหรับการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพมากขึ้น
นายวสันต์ กล่าวว่า รายได้รวมทั้งปี 63 คาดว่าจะมากกว่า 700 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 5-10% และจะเติบโตต่อเนื่องในปี 64 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ใหม่ คือ การพัฒนามอเตอร์สระว่ายน้ำ ที่ได้ลงทุนและพัฒนาเพิ่มขนาด 2.8 แรงม้า เพื่อส่งออกไปจำหน่ายในตลาดประเทศ และ ปั๊มน้ำหอยโข่ง ขนาด 1 และ1.5แรงม้า
รวมทั้งคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ และ ลูกค้าเดิมในต่างประเทศ สั่งผลิตสินค้ารุ่นใหม่ๆ สำหรับเครื่องปรับอากาศ (BLDC HVAC MOTOR) เพิ่มขึ้น รวมทั้งการขยายกำลังการผลิตมอเตอร์ ประเภทความเร็วปรับรอบได้ Variable Speed Motor (BLDC) เพิ่มขึ้น ตามความต้องการของลูกค้าที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการมีกฎหมายบังคับใช้เครื่องมอเตอร์ประเภทความเร็วปรับรอบได้ (BLDC) ภายในสระว่ายน้ำในประเทศสหรัฐอเมริกาในปีหน้า
"สินค้าของ PIMO มีการขายเป็นฤดูกาลอยู่แล้ว ถ้านักลงทุนศึกษาข้อมูลของ PIMO ย้อนหลังกลับไปหลายๆ ปี ดูตัวเลขยอดขายก็ดี กำไรก็ดีจะพบว่าไตรมาส 3 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะต้องผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลัก มีโรงงานปั๊มน้ำทั้งหมด 7 รายซึ่งปัจจุบันเป็นลูกค้า PIMO อีกทั้งเป็นการเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน จึงมีกำลังสั่งผลิตเข้ามาจนเต็มกำลังการผลิตถึงธันวาคมเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งบริษัทฯยังมีทีมขายที่แข็งแกร่งทำให้มีฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย" นายวสันต์ กล่าวในที่สุด
สำหรับกรณีที่สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ประกาศระงับการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) แก่สินค้าไทยครั้งล่าสุด โดยมีผลบังคับใช้ 30 ธ.ค.63 ครอบคลุมกว่า 200 รายการสินค้านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อสินค้าหมวดมอเตอร์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น เพราะถูกตัดสิทธิ GSP ไปแล้วตั้งแต่เมื่อเดือน เม.ย.63 ซึ่งครั้งนั้นครอบคลุมสินค้ากว่า 573 รายการ รวมถึงมอเตอร์ไฟฟ้าด้วย