นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทยังคงดำเนินการตามแผนที่ได้วางไว้อย่างระมัดระวัง แม้จะคาดว่าแนวโน้มธุรกิจโดยรวมจะปรับตัวดีขึ้น หลังจากที่ประเทศส่วนใหญ่ได้พยายามลดและควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 และด้วยโอกาสความเป็นไปได้ในการค้นพบวัคซีน แต่อย่างไรก็ตามสถานการณ์ยังคงมีความไม่แน่นอนและผันผวนมาก
ทั้งนี้ MINT จะยังคงเพิ่มและแสวงหาโอกาสในการสร้างรายได้ใหม่อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเป็นหนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมรายแรก ๆ ที่เข้าร่วมเป็นโรงแรมสำหรับกักตัวทางเลือกในประเทศไทย ไปจนถึงการขยายตลาดภายในประเทศ ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มขีดความสามารถทางด้านดิจิทัลและบริการจัดส่งอาหารของไมเนอร์ ฟู้ด พร้อมกับยังคงดำเนินมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายและลดการลงทุนอย่างเข้มงวดในทั้งสามธุรกิจและทุกภูมิภาค
นอกจากนี้ยังคงติดตามฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดอย่างใกล้ชิด โดย MINT คาดว่าจะมีกระแสเงินสดรับและผลกำไรที่เป็นบวกในปี 2564 ด้วยความเป็นไปได้ของวัคซีนและแผนกลยุทธ์การหมุนเวียนสินทรัพย์ของบริษัท
"บริษัทอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งสิ่งสำคัญคือการบริการจัดการผลกำไรและขาดทุน กระแสเงินสด และฐานะทางการเงินของเรา และด้วยธุรกิจของเราที่กระจายอยู่ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 เราจึงยังคงต้องปรับตัว แต่ยังคงมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนธุรกิจของเราไปข้างหน้า การลดกระแสเงินสดจ่ายและการรักษาสภาพคล่องให้ได้มากที่สุดยังคงเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก"นายราชากาเรีย กล่าว
นายราชากาเรีย กล่าวว่า สำหรับผลการดำเนินงานประจำไตรมาส 3 ปี 2563 ฟื้นตัวจากผลขาดทุนสุทธิที่มากที่สุดในประวัติการณ์จำนวน 8.4 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563 ท่ามกลางการระบาดของโรคโควิด-19 โดย MINT มีผลขาดทุนสุทธิที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญอยู่ที่จำนวน 5.6 พันล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2563 ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบผลการดำเนินงานบนพื้นฐานการรายงานเดียวกัน (จากการดำเนินงานและไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16) บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 4.4 พันล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2563 เมื่อเทียบกับผลขาดทุนสุทธิจำนวน 6.7 พันล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2563
ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 MINT มีผลขาดทุนจากการดำเนินงานก่อนผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16 จำนวน 1.41 หมื่นล้านบาท ซึ่งผลการดำเนินงานในช่วงเวลาดังกล่าวไม่สามารถที่จะเปรียบเทียบกับช่วงเวลาอื่นได้อย่างเหมาะสมเนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทายนี้ MINT ยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยหาโอกาสในการเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด ซึ่งรวมถึงการลดค่าเช่าของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ลดการใช้จ่ายในการลงทุน และติดตามฐานะทางการเงินและกระแสเงินสดอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ทุกกลุ่มธุรกิจร้านอาหารของไมเนอร์ ฟู้ดมีผลการดำเนินงานที่พลิกฟื้น และสามารถสร้างผลกำไรในระดับกำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2563 โดยกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศจีนมีผลกำไรที่สูงที่สุด ส่วนไมเนอร์ โฮเทลส์มีการฟื้นตัวที่ดีในธุรกิจโรงแรมในประเทศออสเตรเลียและธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรม ซึ่งทั้งสองธุรกิจดังกล่าวมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่เป็นบวก (ไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16) ในไตรมาส 3 ปี 2563 ส่วนในทวีปยุโรป แม้ว่าการฟื้นตัวจะช้ากว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ จากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้น แต่เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปสามารถสร้างผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งที่ใกล้เคียงที่สุด ทั้งการฟื้นตัวของรายได้ EBITDA และกำไรสุทธิ
ทั้งนี้ แม้ว่าจะต้องใช้เวลาในการที่ผลการดำเนินงานจะกลับมาสู่ระดับปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับอุตสาหกรรมการโรงแรม แต่ก็ได้เห็นถึงสัญญาณเชิงบวกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความน่าจะเป็นไปได้ในการค้นพบวัคซีน นอกจากนี้ ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจร้านอาหารสามารถช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานโดยรวมของบริษัทได้อย่างมีนัยสำคัญ
ผลการดำเนินงานของไมเนอร์ ฟู้ดพลิกฟื้นกลับมามีกำไรสุทธิจำนวน 208 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2563 จากผลขาดทุนสุทธิใน 2 ไตรมาสแรกของปี 2563 ซึ่งกำไรสุทธิในไตรมาสดังกล่าวกลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจำนวน 207 ล้านบาทในไตรมาส 3 ปี 2562
นอกจากนี้การเริ่มทยอยกลับมาเปิดให้บริการโรงแรมในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้เปิดให้บริการโรงแรมแล้วกว่า 80% ของโรงแรมทั้งหมด ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2563 ส่งผลให้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของของโรงแรมทั้งหมดเพิ่มขึ้นจากเพียง 9% ในไตรมาส 2 ปี 2563 เป็น 32% ในไตรมาส 3 ปี 2563 ในขณะที่รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนฟื้นตัว โดยติดลบลดลงจาก 91% ในไตรมาส 2 ปี 2563 เป็น 63% ในไตรมาส 3 ปี 2563 โดยโรงแรมในประเทศออสเตรเลียมีการฟื้นตัวที่เร็วที่สุด ส่วนโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์มีสัญญาณการฟื้นตัวตั้งแต่เปิดให้บริการโรงแรมอีกครั้งเมื่อปลายเดือนกันยายน อีกทั้ง เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ปมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้น โดยกลับมามีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงานเป็นบวกในไตรมาส 3 ปี 2563 เทียบกับกำไรขั้นต้นที่ติดลบในไตรมาส 2 ปี 2563
ขณะเดียวกัน ไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงขยายเครือโรงแรมอย่างระมัดระวัง ด้วยการเปิดตัวโรงแรมใหม่ 12 แห่งในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งรวมถึง Anantara Maia Seychelles สุดหรู และโรงแรมระดับบน 7 แห่งในทวีปยุโรป ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักในนามกลุ่มโรงแรม Boscolo อีกทั้ง ไมเนอร์ โฮเทลส์มีแผนจะเปิดตัว "รักษ" ซึ่งเป็นศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวมแห่งแรกในกรุงเทพฯ ในไตรมาส 4 ปี 2563 นอกจากนี้ ยอดขายโครงการที่อยู่อาศัย และการฟื้นตัวของอนันตรา เวเคชั่น คลับ ส่งผลให้ธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรมมี EBITDA ที่เป็นบวกในช่วงไตรมาสดังกล่าว และเป็นส่วนช่วยสนับสนุนผลการดำเนินงานของไมเนอร์ โฮเทลส์ โดยผลการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจดังกล่าวช่วยลดทอนผลกระทบจากโรคโควิด-19 ต่อธุรกิจอื่นๆ ของบริษัท
ด้วยมาตรการการลดค่าใช้จ่ายเชิงรุก ควบคู่กับการลดค่าเช่า ซึ่งไมเนอร์ โฮเทลส์สามารถลดค่าใช้จ่ายรวมลง 40% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2562 ส่งผลให้ไมเนอร์ โฮเทลส์มีผลขาดทุนจากการดำเนินงาน (ไม่นับรวมผลกระทบจากการบังคับใช้มาตรฐานการบัญชี TFRS16) ลดลงจาก 6.4 พันล้านบาท ในไตรมาส 2 ปี 2563 เป็น 4.5 พันล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2563