นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข กรรมการผู้จัดการ บมจ.สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4/63 คาดว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากคำสั่งซื้อที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกา ที่มีความต้องการใช้ถังแก๊สสูงขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ประเทศอื่น ๆ ก็มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ในช่วงที่ผ่านมาอาจได้รับผลกระทบเรื่องการขนส่งบ้าง แต่บริษัทคาดว่าสถานการณ์การดังกล่าวจะดีขึ้นต่อเนื่อง
"ในปี 2563 เชื่อว่าเป้าหมายยอดขายถังแก๊ส 7.3 ล้านถัง เติบโต 30% จะสามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้ แต่ทั้งนี้บริษัทจะเน้นในเรื่องของการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้ดีที่สุด ขณะเดียวกันบริษัทจะพยายามรักษาอัตรากำไรสุทธิให้อยู่ในระดับ 12-15% โดยพยายามควบคุมต้นทุนด้านกระบวนการผลิต และการบริหารต้นทุนการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตโดยเน้นตลาดถังใหญ่ขนาดมากกว่า 200 กิโลกรัม ซึ่งเป็นถังที่มีอัตรากำไรสูง เนื่องจากความต้องการในตลาดยังมีมากในขณะที่มีผู้ผลิตได้น้อยราย โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในไตรมาส 4 ปีนี้"นายสุรศักดิ์ กล่าว
นายสุรศักดิ์ กล่าวว่า แผนการลงทุนสร้างโรงงานผลิตถังแก๊สในต่างประเทศ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีโอกาสขยายฐานการผลิตและได้รับส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น รวมถึงลดต้นทุนและระยะเวลาด้านการขนส่งสินค้า และประโยชน์ทางด้านภาษีต่าง ๆ แต่เนื่องจากเกิดสถานการณ์โควิด-19 แพร่ขยายในวงกว้าง ทำให้บริษัทต้องชะลอโครงการดังกล่าว โดยในระหว่างนี้ยังได้มีการศึกษาข้อมูลและประเทศอื่น ๆ ที่น่าสนใจเพิ่มเติมด้วย และจะมีการประเมินโอกาสและความเสี่ยงใหม่อีกครั้ง ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
สำหรับผลประกอบการของบริษัทงวดไตรมาส 3/63 มียอดขายรวมอยู่ที่ 956.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.6% เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากลูกค้าในแถบเอเชียใต้ที่ชะลอการสั่งซื้อในช่วงปีก่อน เริ่มกลับมาสั่งซื้อบางส่วนตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน รวมถึงลูกค้าในแอฟริกามีความต้องการเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยอดขายในสหรัฐอเมริกายังคงมีต่อเนื่องจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
ส่วนกำไรสุทธิในงวดไตรมาส 3/63 จำนวน 180.46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 90.12 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายเติบโต และอัตราการทำกำไรและรายได้อื่นเพิ่มขึ้น โดยสุทธิกับต้นทุนการจัดจำหน่ายและภาษีเงินได้ที่เพิ่มขึ้น สำหรับกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 265.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70.2% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 21.5% เป็น 27.8% เป็นผลจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง เน้นตลาดถังใหญ่ และถังที่มีอัตราการทำกำไรสูง ส่งผลให้อัตราทำกำไรเพิ่มขึ้น
ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทมียอดขายอยู่ที่ 2,994.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 508.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.35% จากงวดเดียวกันของปีก่อน