บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANAN) ที่ระดับ "BBB" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" และคงอันดับเครดิตหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ไม่มีประกันและไถ่ถอนเมื่อเลิกกิจการ (Hybrid Debentures) ของบริษัทที่ระดับ "BB+"
ขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 2.5 พันล้านบาทของบริษัทที่ระดับ "BBB" ด้วย โดยบริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ชุดใหม่ไปจ่ายชำระคืนหนี้
อันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้สะท้อนถึงสถานะทางการตลาดที่เป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียมและสัดส่วนรายได้จากโครงการร่วมทุนที่ค่อนข้างสูง ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนที่สูงและความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โรคโควิด 19) ต่อความต้องการที่อยู่อาศัยและความสามารถในการทำกำไรของผู้ประกอบการในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย
รายได้จากการดำเนินงานรวมของบริษัทลดลง 38% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 3.9 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 รายได้จากการดำเนินงานรวมคาดว่าจะเท่ากับ 70%-80% ของที่ประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ที่ 6-7 พันล้านบาทต่อปีเนื่องจากความต้องการคอนโดมิเนียมจากทั้งผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติลดลง และยังคาดว่ารายได้ค่าบริหารโครงการร่วมทุนจะอยู่ที่ 1.1-1.8 พันล้านบาทต่อปีหรือคิดเป็น 17%-20% ของรายได้จากการดำเนินงานรวมในช่วงปี 2563-2566
กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทลดลง 59% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเป็น 0.9 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ลดลงเป็น 23% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 จาก 31% ในปี 2562 และ 41% ในปี 2561 เนื่องจากบริษัทให้ส่วนลดและจัดโปรโมชั่นมากขึ้นเพื่อระบายสินค้าคงเหลือในภาวะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยชะลอตัว ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้ของบริษัทจะอยู่ที่ 27%-30% ในช่วงปี 2564-2566 อัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรลดลงเหลือ 2% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในโครงการร่วมทุนที่ลดลง ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินทุนถาวรให้อยู่ที่ระดับ 4%-6% เอาไว้ได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิจำนวน 0.1 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 เนื่องจากการรับรู้ผลขาดทุนจากการบริหารงานก่อสร้างโครงการจำนวน 0.8 พันล้านบาทซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 เนื่องจากบริษัทมีแผนส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 7 พันล้านบาทจากโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้การร่วมทุนจำนวน 5 โครงการ ซึ่งได้เริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายน 2563 แล้ว จึงคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากโครงการร่วมทุนเหล่านี้จะช่วยให้บริษัทมีกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563
อัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 66% ณ เดือนกันยายน 2563 จาก 59% ณ เดือนธันวาคม 2561 ซึ่งสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 65% เล็กน้อย จากสมมติฐานพื้นฐานของทริสเรทติ้ง คาดว่าอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนจะดีขึ้นเป็นประมาณ 60% ภายในสิ้นปี 2564 อย่างไรก็ตาม คาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะอยู่ที่ประมาณ 60% เนื่องจากบริษัทมีแผนจะเปิดโครงการใหม่จำนวนมากหากสภาวะตลาดที่อยู่อาศัยดีขึ้น
สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทค่อนข้างตึงตัวแต่ยังสามารถบริหารจัดการได้ ณ เดือนกันยายน 2563 แหล่งเงินทุนของบริษัทประกอบด้วยเงินสดในมือและเงินลงทุนระยะสั้นในกองทุนเปิด 5 พันล้านบาท รวมถึงที่ดินที่ไม่ติดภาระค้ำประกันซึ่งมีมูลค่าต้นทุน 0.8 พันล้านบาท และสินค้าเหลือขายในโครงการที่ปลอดภาระหนี้ซึ่งมีมูลค่าขาย 5.3 พันล้านบาท นอกจากนี้ คาดว่ากระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจะอยู่ที่ 0.5 พันล้านบาท บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระในอีก 12 เดือนข้างหน้าจำนวน 1.18 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วย เงินกู้ยืมระยะสั้น 6.1 พันล้านบาท หุ้นกู้ 3.4 พันล้านบาท เงินกู้โครงการ 2.2 พันล้านบาท และหนี้สินตามสัญญาเช่าการเงิน 0.1 พันล้านบาท เงินกู้ยืมระยะสั้นส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ชั่วคราวเพื่อใช้ในการซื้อที่ดินซึ่งจะถูกทดแทนด้วยเงินกู้โครงการในภายหลัง
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด และเงินกู้โครงการจะจ่ายชำระคืนด้วยกระแสเงินสดจากการโอนโครงการ
ณ เดือนกันยายน 2563 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมระหว่างการพัฒนา 33 โครงการ (ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุน 24 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมของบริษัท 9 โครงการ) และโครงการบ้านจัดสรรระหว่างการพัฒนา 14 โครงการ ซึ่งมีมูลค่าเหลือขายทั้งหมดรวม 5.06 หมื่นล้านบาท คอนโดมิเนียมคิดเป็น 80% ของมูลค่าเหลือขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นบ้านจัดสรร บริษัทมียอดขายรอการรับรู้รายได้มูลค่า 2.45 หมื่นล้านบาทซึ่งประกอบด้วยยอดขายรอการรับรู้รายได้ในโครงการร่วมทุนมูลค่า 2.33 หมื่นล้านบาทและในโครงการของบริษัทเองมูลค่า 1.2 พันล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทจะส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้ในโครงการร่วมทุนให้แก่ลูกค้าในช่วงที่เหลือของปี 2563-2566 และคาดว่าบริษัทจะส่งมอบยอดขายรอการรับรู้รายได้ในโครงการของบริษัทให้แก่ลูกค้ามูลค่า 0.8 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 4 ของปี 2563 และมูลค่า 0.4 พันล้านบาทในปี 2565
แนวโน้มอันดับเครดิต "Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนถึงความกังวลในผลการดำเนินงานของบริษัทที่ต่ำกว่าคาดการณ์และภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยจากทั้งผู้ซื้อภายในประเทศและต่างประเทศที่ชะลอตัวและการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ที่ยาวนานอาจส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนแอลงอีก หากสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญก็อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตได้
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้หากผลการดำเนินงานและ/หรือฐานะทางการเงินของบริษัทไม่ฟื้นตัวจากระดับปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม แนวโน้มอันดับเครดิตอาจปรับกลับไปเป็น "Stable" หรือ "คงที่" หากบริษัทสามารถปรับปรุงผลการดำเนินงานและลดภาระหนี้ลงจนทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินเพิ่มขึ้นสูงกว่า 5% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อเงินทุนอยู่ที่ประมาณ 60%