นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ ประธานคณะกรรมการ บมจ.โอสถสภา (OSP) เปิดเผยว่า บริษัทวางเป้ากำไรปี 64 เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก (2 digit) จากการมุ่งเน้นลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมีเป้าหมายในปี 66 จะลดต้นทุนให้ได้ 2,500 ล้านบาท จากปีนี้คาดลดต้นทุนลงได้ราว 1,000 ล้านบาท ผ่านกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของโครงการ Fit Fast Firm
ทั้งนี้ บริษัทได้วางกลยุทธ์ไว้ 5 ด้านในปีหน้า ซึ่งนอกเหนือจากโครงการ Fit Fast Firm ที่เป็นกลยุทธแรกแล้ว ยังมี 2. แนวทางสร้างการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ภายใต้แบรนด์ที่ยังมีสัดส่วนการเติบโตอยู่ในระดับต่ำ เช่น Slimma เป็นต้น เนื่องจากที่ผ่านมามุ่งขายสินค้าผ่านออนไลน์เป็นหลัก 3. จะมุ่งเน้นขยายตลาดเครื่องดื่มซีวิทในประเทศไทยมากขึ้น
4.ขยายธุรกิจในประเทศเมียนมา เนื่องจากปีนี้ติดปัญหาสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถเดินเครื่องผลิตได้เต็มที่ โดยมี 2 ธุรกิจ คือ โรงงานผลิตเครื่องดื่มที่นิคมอุตสาหกรรมติละวา ภายใต้บริษัท โอสถสภา เมียนมาร์ จำกัด ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่าง OSP ถือหุ้น 85% และบริษัท ลอย เฮง จำกัด ถือหุ้น 15% และ ธุรกิจผลิตและจำหน่ายขวดแก้ว
5. บริษัทจะขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน (Sustainability) อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมองการเติบโตในลักษณะ Inorganic Growth ด้วย โดยอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนทั้งการซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมลงทุน (JV) เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ โดยมีความต้องการที่จะขยายฐานออกจาก Energy Drink และ Functional Drink ซึ่งบริษัทฯ เปิดรับทุกโอกาสที่จะเข้ามา โดยมีเงินสดในมือที่สามารถรองรับการลงทุนในอนาคตอยู่หลายพันล้านบาท
ขณะที่บริษัทวางงบลงทุนในปี 64 ไว้ที่ 2,500 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงเครื่องจักร และลงทุนเทคโนโลยีใหม่ๆ
ส่วนทิศทางผลประกอบการในปี 63 คาดรายได้จะทรงตัวเมื่อเทียบกับปี 62 ที่มีรายได้ 2.6 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะเติบโต 10% โดย 9 เดือนแรกมีรายได้รวม 1.3 หมื่นล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทก็ได้ปรับกลยุทธ์มุ่งเน้น 3 ด้านหลักท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ได้แก่ 1.เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุนโดยรวมผ่านโครงการ Fit Fast Firm 2.สร้างการเติบโตด้วยการเน้นเจาะกลุ่มสินค้าและผู้บริโภคในแต่ละกลุ่ม ทั้งการชูแบรนด์หลัก (Power Brand) อาทิ เอ็ม-150 และ ซีวิท รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ทันต่อเหตุการณ์ การเน้นการบริโภคในครัวเรือน และช่องทางจัดจำหน่าย E-Commerce และ 3.การรักษาสถานะทางการเงินให้แข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มไตรมาส 4/63 ยังไม่สามารถตอบได้ว่ายอดขายจะเติบโตได้กว่าไตรมาส 3/63 หรือไม่ แต่ 9 เดือนแรกภาพรวมตลาด Energy Drinks ยังติดลบ 7% และเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงปลายปี โดยคาดว่าทั้งปีจะยังติดลบ ก่อนจะฟื้นกลับมาเป็นบวกในปี 64 ส่วน Functional Drinks ยังเติบโตต่อเนื่อง
ปัจจุบัน บริษัทยังเป็นผู้นำตลาด Energy Drink โดยมีมาร์เก็ตแชร์ 54.4% และ Functional Drinks มีมาร์เก็ตแชร์ที่ 37.4%