นายบัลลังก์ ไวยานนท์ ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไป ดูแลด้านนักลงทุนสัมพันธ์ บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า สถานการณ์ของโลกในปัจจุบันที่ยังมีความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะสถานการณ์ในต่างประเทศ ได้แก่ การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบสอง ที่เกิดขึ้นหลายประเทศในยุโรป และการเปลี่ยนผ่านนโยบายของสหรัฐฯหลังจากผลการเลือกตั้งประธานาธืบดีออกมาแล้ว ทำให้บริษัทมองว่าในระยะต่อไปยังเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง ทำให้ขณะนี้ยังไม่สามารถประมาณการแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้และปี 64
"ตอนนี้เรายังไม่สามารถแชร์ Outlooks ของธุรกิจได้ จากปัจจัยความไม่แน่นอนของโลกที่มีอยู่มาก Environment ตอนนี้ได้เปลี่ยนไป จากโควิด-19 ในยุโรปที่เกิด Second Wave ขึ้น และสหรัฐฯได้เปลี่ยนประธานาธิบดีคนใหม่ ทำให้นโยบายก็ต้องเปลี่ยน ซึ่งเราก็ยังไม่ทราบว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ทำให้มุมมอง Outlooks ของเราไม่สามารถประเมินได้ โดยเฉพาะในปี 64"นายบัลลังก์ กล่าว
นายบัลลังก์ กล่าวว่า สิ่งที่บริษัทหันมาให้สำคัญในตอนนี้ คือ การทำให้สายการผลิตของบริษัทยังสามารถเดินเครื่องการผลิตได้ต่อเนื่อง ไม่เกิดปัญหาติดขัด และมีความปลอดภัยมากที่สุด เพื่อให้สามารถส่งมอบสินค้าให้กับผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องและทันถ่วงที ไม่เกิดปัญหาการขาดแคลน เพราะสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าประเภทอาหาร ที่ทุกคนทั่วโลกต้องบริโภคทุกวัน เป็นสินค้าจำเป็นที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต ทำให้บริษัทเน้นด้านการบริหารจัดการสายการผลิตให้มีประสิทธิภาพเป็นหลัก
ขณะเดียวกันบริษัทยังเน้นไปถึงการบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ การรักษาสภาพคล่อง และการเลือกลงทุนในโครงการที่บริษัทมองว่ามีความจำเป็นก่อน โดยในปีนี้บริษัทได้ลดงบลงทุนลงเหลือ 3.7 พันล้านบาท หลังเกิดการแพร่ระบาดโคววิด-19 รุนแรงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา จากเดิมที่ตั้งงบลงทุนไว้ 4.5 พันล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทได้ใช้งบลงทุนไปแล้ว 2.8 พันล้านบาท รวมไปถึงการทยอยชำระคืนหนี้ ทำให้ลดค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลง และการบริหารจัดการความเสี่ยงของค่าเงิน เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับบริษัท
นอกจากนี้บริษัทยังมองถึงการสร้างนวัตกรรมด้านอาหารโดยที่ผ่านมาได้ตั้งบริษัทย่อยในสิงคโปร์ลงทุนด้าน Food-Tech Startup Hub เพื่อเป็นตัวช่วยในการหาพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทหรือกองทุนในธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีอาหาร (Foodtech) นำมาต่อยอดการพัฒนาและเพิ่มมูลค่าสินค้าของบริษัทในอนาคต พร้อมกับรุกตลาด Plant Base Food เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคที่ชอบทานอาหารเพื่อสุขภาพ เป็นการขยายฐานลุกค้าไปสุ่กลุ่มใหม่ ๆ และสร้างตัวเลือกของสินค้าให้เพิ่มขึ้น เป็นการต่อยอดธุรกิจของบริษัท และผลักดันการเติบโตให้กับธุรกิจ