SCN เผย Q3/63 พลิกฟื้นกำไรจากรับรู้โรงไฟฟ้ามินบูสูงกว่าคาด-ยอดขายก๊าซฟื้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday November 16, 2020 10:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

บมจ.สแกน อินเตอร์ (SCN) เปิดเผยว่า ไตรมาส 3/63 นี้บริษัทรับรู้รายได้ 360 ล้านบาท มากขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีรายได้ 296 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22% คิดเป็นกำไรสุทธิที่ 13.1 ล้านบาท พลิกจากไตรมาสก่อนที่มีผลขาดทุน 12.56 ล้านบาท ซึ่งเป็นความสำเร็จจากยอดขายก๊าซธรรมชาติที่กระเตื้องขึ้นจากช่วงโควิด-19 และการรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้ามินบูที่ได้ผลผลิตสูงกว่าที่คาด รวมถึงการเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟเชิงพาณิชย์และเริ่มขายไฟฟ้าจาก solar rooftop จำนวน 2.7 เมกะวัตต์

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิในไตรมาส 3/63 อยู่ที่ 13.14 ล้านบาท ยังลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 18.32 ล้านบาท

นายฤทธี กิจพิพิธ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCN กล่าวว่า ที่ผ่านมา แม้สถานกาณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อทุกภาคอุตสาหกรรม รวมถึงกระทบต่อธุรกิจด้านการขนส่งทำให้ความต้องการใช้น้ำมันและก๊าซธรรมชาติลดลง รวมถึงขาดการสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติจากภาครัฐ แต่บริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจและเตรียมแผนรับมือได้อย่างทันท่วงที โดยหันมามุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งบริษัทมีประสบการณ์ความชำนาญมาอย่างยาวนาน

การลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจะเป็นตัวช่วยเพิ่มสัดส่วนผลประกอบการให้สูงขึ้น เห็นได้จากโครงการ Solar Rooftop ที่ SCN เข้าลงทุนคือ บริษัท Scan Advance Power (SAP) เพื่อให้บริการด้านไฟฟ้ารูปแบบ Private PPA อย่างครบวงจร จะเริ่มเข้ามามีบทบาทในการสร้างผลประกอบการของบริษัทให้เติบโตสูงขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งเมื่อวันที่ 11 พ.ย.63 ที่ผ่านมา SAP ยังได้ร่วมลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าภาคเอกชนร่วมกับกลุ่มผู้ประกอบการ 11 ราย กำลังการผลิตรวมเท่ากับ 6.58 เมกะวัตต์ ทำให้ปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวมกว่า 17 เมกะวัตต์ ซึ่งภายในปลายปี 63 นี้จะมีกำลังการผลิตรวมถึง 20 เมกะวัตต์ ตามเป้า

ด้านความคืบหน้าของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์มินบู ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีกำลังการผลิตรวม 220 เมกะวัตต์ แบ่งออกเป็น 4 phases ขนาด 50 เมกะวัตต์สำหรับ phase 1-3 และ 70 เมกะวัตต์สำหรับ phase 4 นั้น เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้เริ่มดำเนินงานก่อสร้างโครงการ phase 2 แล้ว คาดว่าจะพร้อมจ่ายไฟเชิงพาณิชย์ภายในปี 64 และจะทยอยเริ่มงานก่อสร้าง phase 3 และ 4 ได้ต่อเนื่องตามเป้า ซึ่งจะส่งผลให้ผลประกอบการของ SCN เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

"ปี 63 ถือเป็นปีที่พิสูจน์ความสามารถของทุกคนทุกหน่วยงาน เราเจอมาทั้งเรื่องปัญหามลพิษทางอากาศ PM 2.5 โรคระบาดโควิด-19 นโยบายด้านพลังงานที่ไม่ชัดเจน ที่ต่างส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของเรา แต่ SCN ก็สามารถฝ่าฟันผ่านทุกวิกฤตมาได้ ซึ่งเราพอใจต่อผลการดำเนินงานที่สะท้อนออกมา เพราะบริษัทรักษามาตรฐานการดำเนินงานไว้ได้ ผลการดำเนินงานอยู่ในเป้าหมายที่วางไว้ รับมือปัญหาได้อย่างดี

ฉะนั้น การเข้าลงทุนธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจึงถือเป็นหนึ่งไฮไลท์สำคัญของเราในปีนี้ เสมือนเป็นโครงการพระเอกที่มาดึงให้ภาพรวมผลประกอบการน่าพอใจ ในอนาคต SCN พร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นบริษัทพลังงานหมุนเวียนแบบครบวงจร เพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับผู้ถือหุ้น"นายฤทธี กล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ