หุ้น AH ราคาพุ่งแรง 14.73% มาที่ 14.80 บาท เพิ่มขึ้น 1.90 บาท มูลค่าซื้อขาย 92.10 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.27 น. โดยเปิดตลาดที่ 14.10 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 15.00 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 13.90 บาท
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ฯ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.อาปิโก ไฮเทค (AH) ด้วยผลประกอบการที่พลิก turnaround เร็วกว่าคาดไว้ และเชื่อว่าจะกลับมาเติบโตโดดเด่นในปี 64 นอกจากนี้ยังมีประเด็นบวก จากการที่ค่ายนิสสันย้ายฐานการผลิตจากอินโดนีเซียมายังประเทศไทย โดย AH มีสัดส่วนรายได้จากนิสสันสำหรับการผลิตชิ้นส่วน OEM ราว 4% มองว่ามีโอกาสได้ออร์เดอร์มากขึ้น จึงปรับมูลค่าพื้นฐานปี 64 เพิ่มจาก 18.20 บาท เป็น 26.50 บาท สะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไรในปี 64 และปรับใช้ PE เฉลี่ย 5 ปีที่ 10.7x ราคาหุ้นถือว่ายังถูกโดยซื้อขาย P/BV เพียง 0.51x ของประมาณการปีหน้า
ผลประกอบการ AH ในไตรมาส 3/63 พลิกกลับมามีกำไรสุทธิที่ 301 ล้านบาท เทียบขาดทุนในไตรมาสก่อนที่ 631 ล้านบาท และเติบโต 48%YoY สูงกว่าประมาณการที่ 59 ล้านบาท จากรายได้ที่สูงกว่าคาด และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกที่ดีกว่าที่คาดไว้ โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตของ AH ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/63 ที่ 40% เป็น 70% หลังจากบริษัทเริ่มกลับมาผลิต 2 กะอีกครั้ง
ขณะที่ธุรกิจในโปรตุเกสบริษัทลูก AAPICO MAIA ก็ฟื้นตัวอย่างดี เนื่องจากไตรมาสก่อนหยุดการผลิตไป 2 เดือน ขณะที่ปัจจุบันกลับมาผลิตปกติ และรัฐบาลโปรตุเกสออกมาตรการช่วยเหลือ โดยให้การสนับสนุนด้านเงินเดือนแรงงาน ทำให้ประสิทธิภาพในการทำกำไรของ MAIA คาดดีขึ้น
ส่วนธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ที่มาเลเซีย เริ่มฟิ้นตัวหลังจากได้รับผลบวกจากมาตรการช่วยเหลือจากรัฐบาลในการลดภาษีสำหรับรถยนต์ใหม่ และธุรกิจผลิตชิ้นส่วน OEM ที่ประเทศจีน ก็เริ่มมีคำสั่งซื้อกลับมาผลิตเป็นปกติแล้วเช่นกัน ส่งผลให้รายได้ฟื้นตัวโดดเด่น +147%QoQ และ 13%YoY เป็น 4,897 ล้านบาท
พร้อมคาดไตรมาส 4/63 ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง YoY ตามอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ที่เริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า นิสสันและอีซูซุ ที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น โดยอัตราการใช้กำลังการผลิตคาดปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 70-75% ขณะที่ธุรกิจจำหน่ายรถยนต์ที่มาเลเซีย มีปัจจัยหนุนด้านการลดภาษีจากรัฐบาล ช่วยหนุนรายได้จากการจำหน่ายรถยนต์ที่มาเลเซียมากขึ้น
ด้วยผลประกอบการไตรมาส 3/63 ที่ฟื้นตัวดีกว่าคาด ทำให้ปรับประมาณการกำไรปี 63 จากเดิมที่คาดขาดทุน 362 ล้านบาท เป็นกำไรปกติ 82 ล้านบาท (-89%YoY) จากการปรับสมมติฐานรายได้เพิ่มขึ้น 11% และปรับอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 3.2% เป็น 7.1% และปี 64 ปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้น 55% เป็น 799 ล้านบาท (+874%YoY) จากการปรับเพิ่มสมมติฐานรายได้เพิ่มขึ้น 9% และปรับส่วนแบ่งเงินลงทุนในบริษัทร่วมจากเดิมที่ขาดทุน 111 ล้านบาท เหลือขาดทุน 38 ล้านบาท