นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN) กล่าวว่า บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นการเปิดเพื่อทดแทนโครงการเดิมที่ใกล้ปิดโครงการลง และบางส่วนเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจให้บริษัทมีการเติบโตอย่างมั่นคง โดยในปีนี้บริษัทมีการเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้านบาท และอยู่ระหว่างเตรียมเปิดอีก 1 โครงการในช่วงที่เหลือของปี
ขณะที่บริษัทยังคงคุมความเสี่ยงทางการเงิน และรักษาระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio)o ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/63 มี D/E Ratio อยู่เพียงแค่ 0.73 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่อยู่ราว 1.4 เท่า ขณะที่ระดับ Net IBD/E อยู่ที่ 0.44 เท่า สะท้อนความแข็งแกร่งทางด้านการบริหารงาน และบริหารด้านการเงินได้เป็นอย่างดี
นายไชยยันต์ กล่าวว่า ปี 63 เป็นปีที่ท้าทายการดำเนินธุรกิจ เศรษฐกิจทั่วโลกมีการหดตัวรุนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี จากปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยรวมได้รับผลกระทบตามการหดตัวของเศรษฐกิจ และปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น โดยเศรษฐกิจไตรมาส 3/63 หดตัว 6.4% ส่งผลให้ 9 เดือนแรกหดตัว 6.7%
อย่างไรก็ดี แนวโน้มการพัฒนาวัคซีนมีความคืบหน้าไปมาก ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของโลก รวมถึงประเทศไทยค่อยๆ ฟื้นตัวได้ แต่คาดว่าต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1-1.5 ปี ตัวเลขเศรษฐกิจจึงจะกลับไปอยู่ในระดับปกติก่อนเกิดการระบาด
ในแง่ของบริษัท ยอดรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/63 ที่ 1,451 ล้านบาท ขยายตัว 19% จากปีก่อน ในขณะที่การบริหารต้นทุนต่างๆ ทำได้ดีขึ้น ส่งผลให้ในไตรมาส 3/63 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 308 ล้านบาท ซึ่งปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 29% โดยมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ระดับ 21.2%
ในส่วนของ 9 เดือนแรกของปีนี้ แม้ตลาดโดยรวมจะสอบตัวลง แต่บริษัทยังคงสามารถทำผลงานได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยยังคงรักษาการเติบโต ทั้งในส่วนของยอดขายและกำไรให้เป็นไปตามเป้า โดยมียอดรับรู้รายได้แล้ว 4,014 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18% โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นในระดับ 39.2% สะท้อนการบริหารจัดการต้นทุนต่างๆ ได้ดี
รวมทั้งสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ SG&A/Sales ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ปรับลดลงมาอยู่ที่ 9.7% ลดลงจากในช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 11.2% ส่งผลให้ 9 เดือนแรกของปีนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 950.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 48%