นายวินิตย์ ปิยะเมธาง กรรมการผู้จัดการ บมจ.ไมโครลิสซิ่ง (MICRO) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4/63 เชื่อว่าจะมีการขยายตัวที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากปัจจุบันที่มีบัญชีลูกหนี้จำนวน 4,182 สัญญา และมียอดลูกหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อคงเหลือ จำนวน 2,261 ล้านบาท แม้ว่าในช่วงเดือน ต.ค.จะมีพายุฝนเข้ามาเป็นบางช่วง แต่ก็เป็นเรื่องปกติของฤดูกาล โดยที่ผ่านมาไม่มีผลกระทบต่อยอดการปล่อยสินเชื่อใหม่ในช่วงที่เหลือของทุกปี ซึ่งบริษัทได้กำหนด Segmentation ในกลุ่มอาชีพของลูกค้าอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากผลกระทบตามฤดูกาลไว้แล้ว
ส่วนผลประกอบการในงวดไตรมาส 3/63 บริษัทมีรายได้รวม 113.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.88 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 31.13% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 86.34 ล้านบาท
ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 63 บริษัทมีรายได้รวม 315.70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 81.67 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 34.90% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 234.03 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 94.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.68 ล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 21.44% ที่มีกำไรสุทธิ 77.79 ล้านบาท โดยรายได้และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้ดอกเบี้ยเช่าซื้อที่เพิ่มขึ้น ค่าบริการประกันภัยและประกันวงเงินสินเชื่อ ซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของสินเชื่อเช่าซื้อของบริษัท
"ผลประกอบการในช่วงไตรมาส 3/63 และงวด 9 เดือนของปีนี้ มีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ แม้ในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ลูกหนี้เช่าซื้อบางส่วนได้รับผลกระทบ แต่บริษัทก็มีมาตรการช่วยเหลือ รวมทั้งสามารถบริหารจัดการ ติดตามและยึดคืนหลักประกันจากลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระได้โดยเร็ว และนำหลักประกันมาจำหน่ายเพื่อนำกระแสเงินสดกลับมาใช้หมุนเวียนในการปล่อยสินเชื่อ พร้อมกับการคุม NPL สะท้อนธุรกิจรถบรรทุกเป็นธุรกิจที่แข็งแกร่ง อีกทั้ง แนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังของทุกปีที่ผ่านมาจะเติบโตกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลิตผลทางการเกษตรเริ่มออก และการขยายการลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม จึงมั่นใจว่าผลประกอบการปีนี้จะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมาย พร้อมกับการนำเงินที่ได้จากการระดมทุนเตรียมพร้อมรับโอกาสในการเติบโต" นายวินิตย์ กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในช่วงต่อจากนี้ หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ MICRO พร้อมขยายการเติบโต โดยโครงการในอนาคตในปี 64 บริษัทฯ มีแผนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อพัฒนาระบบการบริการด้านสินเชื่อให้เป็นไปด้วยความรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่น Mobile Application หรือเครื่องมือในการบริหารจัดการข้อมูลด้านสินเชื่อเช่าซื้อ เป็นต้น คาดว่าระบบจะพัฒนาแล้วเสร็จภายในปี 63 นี้
นอกจากนั้น บริษัทตั้งเป้าหมายรักษาอัตราการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อได้ไม่น้อยกว่า 30% ต่อปี โดยมีแผนจะขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ในช่วงปี 64-65 จำนวน 16 สาขา และ 20 สาขาตามลำดับ จากปี 63 มี 12 สาขา โดยมุ่งเน้นในจังหวัดที่มีการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมสูง หรือในพื้นที่ที่มีผู้ประกอบการเต็นท์รถบรรทุกมือสองจำนวนมาก เพื่อรองรับเป้าหมายในการขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อให้เติบโตเป็น 5,000 ล้านบาทภายในปี 65 ซึ่งจะโตประมาณ 2 เท่าของปี 63
"ในช่วง 3 ? 5 ปีข้างหน้า บริษัทฯ จะยังคงมุ่งเน้นการให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกมือสองเป็นหลัก โดยมุ่งเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมและการขยายฐานลูกค้าใหม่ ผ่านการขยายเครือข่ายผู้ประกอบการเต็นท์รถบรรทุกมือสอง และการเพิ่มจำนวนสาขาให้ครอบคลุมและสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ทั่วประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงและพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน สำหรับแผนธุรกิจระยะยาว บริษัทฯ มีแผนจะเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สินเชื่อ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางการเงินแก่ลูกค้าได้อย่างครบวงจร" นายวินิตย์ กล่าว