นายสันติสุข โฆษิอาภานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.โซนิค อินเตอร์เฟรท (SONIC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 64 เติบโต 20% จากปี 63 โดยมองว่าภาพรวมของการส่งออกและการค้าระหว่างประเทศเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นมาตั้งแต่ไตรมาส 3/63 เป็นต้นมา และจากความชัดเจนของความคืบหน้าการผลิตวัคซีนโควิด-19 ทำให้ภาพรวมของการค้าโลกจะทยอยฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง และส่งผลดีต่อความต้องการใช้เรือขนส่งด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนให้กับบริษัท เนื่องจากสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทมาจากการให้บริการขนส่งทางเรือ 65%
ขณะเดียวกันแผนงานในปี 64 บริษัทจะเน้นการขยายฐานธุรกิจในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก(EEC) มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของการให้บริการขนส่งทางบก โดยเตรียมเพิ่มรถหัวลาก (PINTHING SONIC) ไม่ต่ำกว่า 30 คัน จากปัจจุบันมีอยู่ราว 300 คัน เพื่อรองรับปริมาณความต้องการใช้รถขนส่งของลูกค้าในพื้นที่ EEC ซึ่งที่ผ่านมาความต้องการใช้รถหัวลากเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสในการเพิ่มจำนวนรถให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าเพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น
ส่วนแผนการลงทุนในปี 64 บริษัทยังไม่ได้ตั้งงบลงทุนไว้อย่างชัดเจน แต่ในส่วนของดีล M&A ที่บริษัทได้ชะลอการเข้าซื้อกิจการที่เกี่ยวเนื่องทั้งในและต่างประเทศออกไปในปีนี้หลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 นั้น บริษัทจะกลับไปเจรจาในปีหน้าอีกครั้ง แต่บางดีลอาจจะต้องทบทวนใหม่ เพราะผลกระทบของโควิด-19 ทำให้ต้องปรับลดมูลค่าลงบ้าง แต่อย่างไรก็ตามจากสถานการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอน บริษัทยังคงต้องระมัดระวังและมีการพิจารณาอย่างรอบคอบในการลงทุน
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 บริษัทคาดว่าจะยังเห็นทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 3/63 แต่อาจจะชะลอตัวลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะโควิด-19 ยังมีความไม่แน่นอน บางประเทศยังมีการล็อกดาวน์จากการกลับมาแพร่ระบาดโควิด-19 รอบ 2 และสภาพของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่เห็นการกลับมาฟื้นตัวมากนัก แต่ในช่วงครึ่งปีหลังทั้ง 2 ไตรมาสโดยปกติถือว่าเป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจที่มีปริมาณการขนส่งที่มากขึ้น ทำให้ผลงานของบริษัทยังสามารถเติบโตได้บ้าง แม้ว่าภาพรวมของผลงานในปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ราว 5% ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 20% เมื่อต้นปีก็ตาม
"แม้ว่าธุรกิจจะได้รับผลกระทบ แต่บริษัทก็ต้องปรับตัว อย่างเช่นการปรับกลุ่มลูกค้า หันมาจับกลุ่มลูกค้าที่มีทิศทางการเติบโต โดยที่ผ่านมาลูกค้าในกลุ่มยางรถยนต์ปรับตัวลดลง แต่ก็ได้ลูกค้าในกลุ่มอาหารเข้ามาทดแทนและเราก็กระจายกลุ่มลูกค้าให้หลากหลาย เพื่อกระจายความเสี่ยง ถ้าสถานการ์ณต่างๆกลับสู่ภาวะปกติ ธุรกิจเราก็จะได้ผลบวกไปด้วย"นายสันติสุข กล่าว