นายเดชบดินทร์ เหรียญทรัพย์ดี รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทานตะวันอุตสาหกรรม (THIP) เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่ารายได้ในปี 64 จะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก ซึ่งสูงกว่าภาพรวมของตลาดที่คาดว่าจะเติบโตราว 7-8% โดยจะมาจากผลิตภัณฑ์แบรนด์ของบริษัทเองที่จะเข้ามาสนับสนุน และการเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ซึ่งบริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ออกมานำเสนอแก่ลูกค้า พร้อมกับจะเพิ่มความหนาแน่นของช่องทางการขายมากขึ้น และจะขยายตลาดกลุ่มอาเซียนมากขึ้น
กลยุทธ์สำคัญของบริษัทยังคงเป็นเรื่องของการสร้างแบรนด์ แบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่มหลัก เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีความต้องการแตกต่างกัน ประกอบด้วย 1.แบรนด์ "SUN Mum&Baby" สินค้าแม่และเด็ก เช่น ถุงน้ำนมแม่ เป็นต้น, 2.แบรนด์ "SUN Kitchen" ผลิตภัณฑ์เพื่อกลุ่มใช้ในครัว เช่น ถุงซิป, ถุงยืดอายุผัก (fresh&fresh) และถุงขยะ เป็นต้น และ 3.แบรนด์ "SUN Ec" ผลิตภัณฑ์ที่ย่อยสลายได้ด้วยตัวเอง สำหรับผู้บริโภคที่ต้องการลดภาระต่อสิ่งแวดล้ม
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ในปัจจุบันของบริษัทมาจาก 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ 1.กลุ่ม Resealable Bags (ถุงที่ปิดผนึกได้) มีสัดส่วรายได้ 85% 2. กลุ่ม Drinking Straw (หลอด) มีสัดส่วรายได้ 9% และ 3.กลุ่มอื่นๆ มีสัดส่วรายได้ 6% โดยสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นการขายต่างประเทศ 85% ในโซนอเมริกาเหนือ, ยุโรป, เอเชีย ตะวันออก, อาเซียน และออสเตรเลีย ส่วนอีก 15% มาจากการขายภายในประเทศ
ขณะที่ด้านการขยายตลาดในอาเซียน บริษัทมีความสนใจขยายตลาดในเวียดนาม, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และอินเดีย เพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุด บริษัทได้ตั้งสำนักงานตัวแทนจำหน่ายในประเทศดังกล่าวแล้ว และจะเพิ่มการขายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น รวมถึงการร่วมทุนกับพันธมิตรใหม่ๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ด้วย
นายเดชบดินทร์ กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทวางงบลงทุนไว้ 100-150 ล้านบาทเพื่อขยายกำลังการผลิตสร้างการเติบโตแบบ Organic Growth โดยจะเพิ่มเครื่องจักร ปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักร พัฒนาระบบหลังบ้าน รวมถึงใช้ในการพัฒนาทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สอดคล้องต่อความต้องการของลูกค้า
นอกจากนั้น บริษัทจะมีแผนจะลงทุนใหญ่เพื่อสร้างการเติบโตแบบ Inorganic Growth ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนมากกว่างบปกติ 2 เท่า