นายวีระพงค์ ลือสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีรพัฒน์เทคโนโลยี (PRAPAT) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าสร้างรายได้ปี 64 จะเติบโตไปมากกว่า 900 ล้านบาท จากปีนี้คาดอยู่ที่ 880 ล้านบาท และกำไรสุทธิจะกลับมาทำได้ใกล้เคียงกับปี 62 ที่มีกำไรราว 50 ล้านบาท หลังจากบริษัทเพิ่มศูนย์บริการเพื่อจัดแสดงสินค้า (โชว์รูม) ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างและสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์ ใช้งบลงทุนราว 9 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการรับรู้แบรนด์ไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยตรง คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จได้ในเดือน ธ.ค.นี้ จึงเชื่อมั่นว่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่จะช่วยสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในปีหน้า
บริษัทยังมีแผนเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในประเทศ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีศักยภาพในการจำหน่ายเฉพาะผลิตภัณฑ์นั้นๆ จากปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายครอบคลุมครบ 77 จังหวัดแล้วทั้งในหัวเมืองหลักและหัวเมืองรอง ขณะที่ในประเทศ CLMV (กัมพูชา, ลาว, เมียนมา และเวียดนาม) รวมถึงอินโดนีเซีย ปัจจุบันมีทั้งสิ้นจำนวน 10 ราย ในปี 64 บริษัทยังไม่มีแผนขยายตัวแทนจำหน่ายเพิ่ม เนื่องจากติดปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยในปี 62 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศที่ 5-6%
สำหรับกลยุทธ์การดำเนินงานในปีหน้า บริษัทได้ปรับตัวมาเป็น Cleaning HYGIENE Solution จากเดิมที่เป็น Cleaning Solution ภายหลังในช่วงต้นปี 63 ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ดังนั้น ในปี 64 บริษัทจะผนึกกำลังกับบริษัทย่อยทั้ง 5 บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าต่อยอดบริการ การบริการหลังการขาย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ด้วยกลยุทธ์ PPG SYNERGY/One team One platform One package เจาะตลาดในทุกภาคธุรกิจทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
"เราคาดว่ารายได้ปี 64 จะเติบโตจากปี 63 แต่หากเทียบกับปี 62 จะยังลดลงอยู่ จากปี 62 มีรายได้อยู่ที่ 1,003 ล้านบาท เนื่องด้วยจากสถานการณ์โควิด-19 น่าจะยังส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่ยังไม่น่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ 100% โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในปีหน้าจะอยู่ที่ 20 ล้านราย ลดลงจากปี 62 ที่อยู่ราว 40 ล้านราย ขณะที่กำไรสุทธิจะกลับไปใกล้เคียงเดิมที่เคยทำได้ 50 ล้านบาท ตามการเติบโตของทุกธุรกิจในเครือ จากปีนี้คาดกำไรสุทธิลดลง"นายวีระพงศ์ กล่าว
นายวีระพงค์ กล่าวว่า ในปีหน้าบริษัทวางงบไว้ราว 50 ล้านบาทเพื่อลงทุนในระบบบัญชีประมาน 20 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในไตรมาส 4/63 น่าใช้ระยะเวลา 12-15 เดือนจึงจะแล้วเสร็จ และอีก 30 ล้านบาทจะนำมาลงทุนในระบบควบคุมการผลิต คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 1/64 ใช้ระยะเวลาในการดำเนินงาน 12-18 เดือน
อีกทั้งยังมีแผนจะลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Rooftop) บนพื้นที่หลังคาโรงงาน อ.เขาย้อย จ.เพชรบุรี ขนาด 330 กิโลวัตต์ (kV) ในช่วงต้นปี 64 ด้วย คาดใช้เงินลงทุนประมาณ 8 ล้านบาท คาดหวังจะสามารถช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าลงได้
พร้อมกันนี้บริษัทยังเตรียมก่อสร้างคลังสินค้าขนาด 5,800 ตารางเมตร (ตร.ม.) และสร้าง Land Dock หรือพื้นที่ขนถ่ายสินค้าตามแผนงานที่กำหนดไวั โดยใช้งบลงทุนประมาณ 72 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่โรงงาน อ.เขาย้อย จ. เพชรบุรี เพื่อเป็นคลังขนถ่ายสินค้า เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 3/64 คาดว่าจะใช้เวลาในการก่อสร้าง 12-18 เดือน
และลงทุนในระบบควบคุมการผลิต ระบบ SCADA เพื่อควบคุมและวัดปริมาตรน้ำยาแบบอัตโนมัติรวม ทั้งลงทุนเชื่อมต่อทั้ง 2 ระบบ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานข้อมูลจากสายงานผลิตจะถูกส่งตรงเข้าสู่ระบบบัญชีได้อย่างรวดเร็ว ใช้งบลงทุน 30 ล้านบาท เบื้องต้นคาดว่าจะดำเนินการได้ในช่วงไตรมาส 1/64 และใช้ระยะเวลาในการดำเนินงาน 12-18 เดือน
ด้านผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนในปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมแล้ว 619.25 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 3.63 ล้านบาท ซึ่งกำไรสุทธิที่ปรับตัวลดลงในไตรมาส 3/63 เป็นเพราะมีค่าใช้จ่ายในการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และยังเหลือค่าใช้จ่ายบางส่วนที่จะถูกบันทึกในไตรมาส 4/63 อย่างไรก็ดีเชื่อว่าในช่วงที่เหลือของปีธุรกิจจะยังมีการขยายตัวดีขึ้น
ปัจจุบันบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีโครงสร้างรายได้มาจากรายได้จากการขายคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 80% ของรายได้รวม และที่เหลืออีกประมาณ 20% มาจากรายได้จากการค่าเช่าและบริการ โดยมีสัดส่วนรายได้จากขายมาจากกลุ่มธุรกิจหลัก 7 ประเภท ได้แก่ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ซักรีด 2.กลุ่มผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ 3.กลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านครัว 4.กลุ่มผลิตภัณฑ์แม่บ้านและทำความสะอาดพื้น 5.กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือน 6.กลุ่มผลิตภัณฑ์สระว่ายน้ำ และ 7.กลุ่มผลิตกัณฑ์เครื่องทำน้ำร้อนประหยัดพลังงาน
ส่วนรายได้ที่มาจากค่าเช่าและบริการ มีสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มธุรกิจ 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ งานบริการสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์ด้านครัว, งานบริการสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สระว่ายน้ำ, งานบริการสำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องทำน้ำร้อนประหยัดพลังงาน และรายได้บริการอื่น