นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ เปิดเผยว่า การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยเช้านี้น่าจะยังขยับขึ้นต่อจากวานนี้ โดยภาพตลาดขณะนี้อยู่ในภาวะ Risk on ที่นักลงทุนกลับเข้าลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงส่งผลให้ตลาดหุ้นและราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น ขณะที่ราคาทองคำปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นผลจากความคืบหน้าวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ล่าสุดบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ที่พัฒนาวัคซีนร่วมกับมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดนั้น เบื้องต้นมีค่าประสิทธิภาพเฉลี่ย 70% ต่อเนื่องจากการพัฒนาวัคซีนของไฟเซอร์ อิงค์ และโมเดอร์นา อิงค์ ที่ได้เปิดเผยความคืบหน้ามาแล้วก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ความสำเร็จของการพัฒนาวัคซีนต้านโควิด-19 ทำให้ตลาดคาดหวังว่าเศรษฐกิจโลกในปี 64 จะฟื้นตัวได้ดีขึ้น แม้สถานการณ์การระบาดจะยังมีอยู่มากก็ตาม ประกอบกับความชัดเจนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่นายโจ ไบเดน ซึ่งมีนโยบายที่คาดเดาได้ง่าย เป็นผู้ได้รับชัยชนะเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่นั้น ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นทำให้มีแรงซื้อคืนของนักลงทุนต่างชาติเข้ามาในตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging Market) ซึ่งรวมถึงไทยด้วย
สำหรับการลงทุนภาพใหญ่ในตลาดหุ้นไทยยังเป็นทิศทางของเงินไหลเข้าจากปัจจัยด้านมหภาคที่ดูดีขึ้น แต่การที่ดัชนีปรับขึ้นมาค่อนข้างมาก รวมถึงนักลงทุนต่างชาติไม่ได้ซื้อต่อเนื่องในทุกวัน โดยพลิกกลับมาขายสุทธิบ้างในบางวันนั้น ก็อาจทำให้ตลาดอาจมีแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง ประกอบกับตลาดยังจับตาการชุมนุมทางการเมืองที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง โดยล่าสุดนัดชุมนุมกันในวันพรุ่งนี้ (25 พ.ย.) แม้คาดว่าจะไม่มีสถานการณ์รุนแรง แต่ก็น่าจะยังเป็นปัจจัยรบกวนอยู่ และอาจทำให้เงินทุนไหลเข้าสะดุดได้บ้าง
พร้อมให้แนวรับที่ 1,415 และ 1,410 จุด ส่วนแนวต้าน อยู่ที่ 1,435-1,440 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 29,591.27 จุด เพิ่มขึ้น 327.79 จุด (+1.12%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,577.59 จุด เพิ่มขึ้น 20.05 จุด (+0.56%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,880.63 จุด เพิ่มขึ้น 25.66 จุด (+0.22%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 13.69 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 374.08 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 17.34 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 40.83 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 144.14 จุด, ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ลดลง 7.08 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 พ.ย.63) 1,420.43 จุด เพิ่มขึ้น 31.09 จุด (+2.24%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,755.59 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 พ.ย.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค.64 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 พ.ย.63) ปิดที่ 43.06 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 64 เซนต์ หรือ 1.5%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 พ.ย.63) อยู่ที่ 0.68 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.34 อ่อนค่าหลังดอลล์แข็ง ตลาดรอปัจจัยใหม่ ให้กรอบ 30.25-30.40
- สมาคมตราสารหนี้ไทย คาดภาคเอกชนเตรียมขายหุ้นกู้เดือนนี้แตะ 1 แสนล้านบาท หลังครึ่งเดือนแรก ออกไปแล้วถึง 6 หมื่นล้านบาท ขณะที่ต่างชาติยังคงซื้อบอนด์ไทยต่อเนื่อง ด้านนายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ปโฮลดิ้งส์ ชี้ราคาบิทคอยน์มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นแรง แนะนักลงทุนมีเงินเย็นแบ่งเงินลงทุน
- พาณิชย์เผยส่งออก ต.ค. -6.71% ติดลบน้อยกว่าที่คาดการณ์ ชี้สัญญาณฟื้นตัวชัด-ใกล้เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ ลุ้นทั้งปี 63 ติดลบต่ำกว่า 7% คาดปีหน้าฟื้นตัวต่อเนื่อง อานิสงส์อาร์เซ็ปช่วย ด้านเอกชนห่วงตัวเลขดีแต่ใกล้ ก.ย.ทั้งที่ควรดีกว่านี้เพราะได้ออร์เดอร์เทศกาลหวั่นฉลองปีใหม่ทั่วโลกซึม
- ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาหดตัวเนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยข้อมูลของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่าในไตรมาสที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน) ปี 2563 เศรษฐกิจไทยขยายตัวที่ -6.4% และแนวโน้มของเศรษฐกิจไทยปี 2564 จะขยายตัว 3.5-4.5% ขณะที่คลัง ยันรัฐบาลยังมีแรงกู้ดูแลเศรษฐกิจได้อีก 9.8 แสนล้านบาท
- ส.อ.ท. เห็นด้วยนโยบายของอุตสาหกรรม ที่ให้นำรถยนต์เก่าแลกรถยนต์ใหม่แล้วได้ส่วนลดนั้น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายกรัฐมนตรีที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่เห็นว่าที่เร่งด่วนในขณะนี้คือ ส่งเสริมให้เปลี่ยนรถยนต์ใหม่ที่มีการผลิตในประเทศเป็นหลัก เพื่อช่วยให้ตลอดห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงเอสเอ็มอีที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ป้อนโรงงานมีการจ้างงานรวมกันมากถึง 1 ล้านคน และรถยนต์ที่ผลิตในประเทศเป็นรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเอทานอลและไบโอดีเซล ที่มีส่วนช่วยเกษตรกร และยังช่วยลดมลภาวะลงได้อีกทางหนึ่งด้วย
- รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย ระบุว่าสถานการณ์การจ้างงานยังต้องติดตามใกล้ชิด ทั้งในส่วนของแรงงานที่ตกงานอยู่ในปัจจุบันจากผลกระทบโควิด-19 กำลังเป็นปัญหาหนักเพราะอาจกลายเป็นแรงงานที่ตกงานถาวร หากรัฐบาลไม่มีมาตรการเข้ามาดูแลเพิ่มเติม ขณะที่เดือน ก.พ. 64 จะมีแรงงานจบการศึกษาใหม่เข้ามาอีกประมาณ 500,000 คน ส่งผลให้เมื่อรวมกับเด็กที่จบไปแล้วปี 63 แต่ยังไม่มีงานทำประมาณเกือบ 400,000 คน ส่งผลให้ปี 64 คาดว่า อัตราการว่างงานของแรงงานไทยยังคงสะสมอยู่ในระดับ 2.9 ล้านคน
- ครม.เห็นชอบกรอบแผนงานโครงการเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมในรอบที่ 2 ในกรอบวงเงิน 1.52 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการดำเนินโครงการฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อเนื่องจากรอบแรกที่ได้รับการอนุมัติไปแล้ว วงเงิน 9.24 แสนล้านบาท ซึ่งจะใช้เงินจากพ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ในกรอบของการฟื้นฟูที่กันเงินเอาไว้จำนวน 4 แสนล้านบาท โดยการทำโครงการรอบ 2 นี้ ประเมินว่า เบื้องต้นจะช่วยทำให้จีดีพีของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นจากฐานปกติที่ไม่มีเงินกู้ ประมาณ 0.2% ในปี 63 และคาดว่าจะช่วยให้จีดีพีในปี 64 ขยายตัวได้อีก 0.25%
- นายกรัฐมนตรี ย้ำไม่มีปฏิวัติ ซัดพวกปล่อยข่าว หวังระดมคนร่วมชุมนุม ลั่นไม่ปล่อยม็อบชนม็อบ ยันดูแลสองฝ่าย ไม่ต้องการเห็นคนไทยฆ่ากันซ้ำรอยอดีต ด้านครม.มีมติต่อประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ครั้งที่ 8 ยาวข้ามปี 45 วัน เพื่อควบคุมโรคในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่มีคนเดินทางเป็นจำนวนมาก
*หุ้นเด่นวันนี้
- KKP (หยวนต้าฯ) แนะ "สะสม" ให้ราคาเหมาะสม 60 บาท โดยคงมุมมองบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร และประเมินว่ามีโอกาสไต่ระดับขึ้นได้ต่อสำหรับการลงทุนระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า จากความคืบหน้าวัคซีนส่งผลให้คุณภาพของสินทรัพย์ดีขึ้น จึงเป็น Sector หลักที่รองรับกระแสเงินทุนต่างชาติ และ Valuation ยังถูก ขณะที่ KKP มีจุดเด่น ได้แก่ สินเชื่อ YTD ปรับตัวขึ้น +11.2% เทียบกับกลุ่มธนาคารที่ 4.3% นอกจากนั้น ยังได้ประโยชน์โดยตรงจากการปรับตัวขึ้นของ SET INDEX เนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจตลาดทุนในสัดส่วนสูง ราคา ณ ปัจจุบัน ซื้อขายที่ PBV เพียง 0.79 เท่า และให้ Dividend Yield 7%
- BCH (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะ"ซื้อ" ให้ราคาเป้าหมาย 20 บาท แนวโน้มกำไร 4Q63 คาดยังแข็งแรงจากรายได้เงินสดที่ทยอยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและ High Season ที่มาช้าในปีนี้ ส่วนรายได้ประกันสังคมยังคงแข็งแกร่งเป็น นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากบริการ ASQ และ HQ ขณะที่กำไร 3Q63 ที่ดีกว่าคาด ประเมินกำไรปี 63 มี Upside 3-5% จากปัจจุบันที่คาด +6% Y-Y ส่วนปี 64 คาดโตในอัตราเร่ง +12% Y-Y รวมถึงได้ประโยชน์จากวัคซีนโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยต่างชาติเริ่มทยอยกลับมาใช้บริการในระยะถัดไป
- SCC (เอเซีย พลัส) แนะ"ซื้อ"ให้ราคาเหมาะสม 430 บาท จากแผนการเติบโตที่ชัดเจนของทุกธุรกิจหลักในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะกำลังการผลิตของธุรกิจปิโตรเคมีที่จะเพิ่มขึ้นถึง 70% หลังโครงการ LSP ในเวียดนามเสร็จสิ้น รวมถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของธุรกิจ Packaging หลังการระดมทุน IPO ของ SCGP เป้าหมายทางพื้นฐานปี 64 อยู่ที่ 430 บาท เทียบเท่า PER 14 เท่า มี Upside 24% บวกกับ Dividend Yield อีก 4%