นายอนุพนธ์ ศรีอาจ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่ามีโอกาสที่จะรีบาวน์ในช่วงสั้น แต่ทิศทางยังมองว่าจะแกว่งในกรอบแคบ เนื่องจากมองว่าการรีบาวน์ของตลาดฯในช่วงนี้ยังไม่มีน้ำหนักมาก และตลาดในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ก็มีการแกว่งแคบ ทั้งบวก-ลบ ทั้งนี้ ภาพโดยรวมยังให้ความวิตกกังวลเกี่ยวกับตลาดซับไพร์ม แม้ว่าทางการจะมีการอัดฉีดเงินเข้าไปช่วยก็ตาม โดยยังมองว่าตลาดหุ้นไทยยังคงรับแรงขายจากต่างชาติอยู่
สำหรับปัจจัยภายในประเทศก็คงจะมีเรื่องผลประกอบการงวดไตรมาส 2/50 ของบริษัทจดทะเบียน และยังมีเรื่องของการจ่ายเงินปันผลที่อาจจะเป็นตัวที่ส่งผลต่อหุ้นในตลาดฯได้ ซึ่งก็จะเป็นรายตัวไปเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการรอดูผลของการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 ส.ค.นี้ ถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านแล้วนำไปสู่การเลือกตั้งได้เร็วขึ้น ก็จะส่งผลดีต่อตลาดฯในสัปดาห์หน้าได้
ทั้งนี้ ให้แนวต้านไว้ที่ 810-812 จุด แนวรับ 800 พร้อมแนะ"ซื้อสะสม"หากดัชนีลงมาต่ำกว่า 800 จุด โดยมีจุดที่น่าสนใจเข้าซื้อที่ระดับ 780 จุด แต่ถ้าดัชนีฯรีบาวน์กรอบแคบในช่วงสั้น ก็ให้ Wait & See ไปก่อน
ประเด็นของการพิจารณาการลงทุน :
- ตลาดหุ้นนิวยอร์คเมื่อวานนี้(13 ส.ค.) ดัชนีดาวโจนส์ ปิดที่ 13,236.53 จุด ลดลง 3.01 จุด(-0.02%) ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดที่ 1,452.92 จุด ลดลง 0.72 จุด(-0.05%) และดัชนีแนสแด็ก ปิดที่ 2,542.24 จุด ลดลง 2.65 จุด (-0.10%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,358.43 ล้านบาทเมื่อ 10 ส.ค.50
- ราคาน้ำมันดิบส่งมอบเดือน ก.ย.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการเมื่อวานนี้ที่ 71.62 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 0.15 ดอลลาร์
- คลัง-ธปท.เล็งยกเลิกหรือลดสัดส่วนการนำเงินบาทออกนอกประเทศของบัญชีนอน เรสิเดนท์ หวังเป็นมาตรการปิดตลาดออฟชอร์ลดความสับสน 2 ตลาด พร้อมศึกษาเปิดตลาดฟิวเจอร์เงินบาท เพิ่มผู้กำหนดราคาจากเดิมที่มีแค่ผู้ส่งออก-นำเข้า ด้านนักค้าเงินเผยเทคนิคสุดฮิตเก็งกำไรค่าเงินถูกกฎหมาย และผลตอบแทนสูง 8-9% ทั้งการซื้อหุ้นกู้ การทำธุรกรรมของบริษัทแม่-ลูกผ่านแบงก์ต่างชาติ นักการเมืองขนเงินออก และโพยก๊วนที่เริ่มระบาดเข้ากรุงเทพฯ
- ภาคเอกชน เสนอรับร่างรัฐธรรมนูญ สร้างความชัดเจนทางการเมือง ฟื้นความเชื่อมั่นการบริโภคกลับคืน ดันเศรษฐกิจฟื้นตัวรับการเลือกตั้งในช่วงปลายปี "สันติ" ชี้อุตสาหกรรมการพิมพ์คึกคัก ด้านหอการค้า ระบุ หากไม่รับร่างรัฐธรรมนูญหวั่นฉุดเศรษฐกิจซึมยาว จากเหตุชุมนุมประท้วงต่อเนื่อง
- บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกยังคงระดมอัดฉีดทุนเข้าตลาดการเงินอย่างต่อเนื่อง พร้อมแสดงความมั่นใจว่า วิกฤตซับไพรม์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐจะไม่บั่นทอนเศรษฐกิจโลกมากนัก ช่วยเกื้อให้ตลาดหุ้นโลกกลับมาคึกคักอีกครั้งในการซื้อขายวันแรกของสัปดาห์
- รัฐบาลเชื่อเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตเกินกว่า 4% แน่ และในครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะรัฐบาลเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจโดยขับเคลื่อนในหลายๆ ทาง โดยเฉพาะงบประมาณแผ่นดินในปี 2551 ที่จะไม่ติดขัดเหมือนปีนี้ เพราะจะสามารถเบิกจ่ายได้ต่อเนื่องทันที
- สมาคมธนาคารไทย เผยขณะนี้นักลงทุนต่างประเทศได้ใช้มาตรการกันสำรองเงินนำเข้า 30% มาใช้ประโยชน์เพื่อหาผลตอบแทนหรือกำไรถึง 2 ต่อ ซึ่งเกี่ยวพันกับส่วนต่างระหว่างเงินบาทในประเทศ (ออนชอร์) และเงินบาทในต่างประเทศ (ออฟชอร์)
- ธปท.ไม่ห่วงภาวะหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เพิ่มขึ้น เป็น 4.41% หรือ 2.54 แสนล้านบาท ในสิ้นไตรมาส 2 และไม่ห่วงถึงผลกระทบต่อฐานะธนาคารพาณิชย์ เพราะทั้งระบบดำรงเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(บีไอเอส)เฉลี่ยสูงถึง 14.3% และมีการกันสำรองเกือบครบแล้ว
- คลัง เผยภายในสัปดาห์นี้ธนาคารเพื่อความร่วมมือแห่งประเทศญี่ปุ่น(เจบิก) จะแจ้งให้กระทรวงการคลังทราบว่าจะอนุมัติปล่อยเงินกู้โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ หรือไม่
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/รัชดา โทร.0-2253-5050 ต่อ 317 อีเมล์: rachada@infoquest.co.th--