นายพีรพงศ์ จิระเสวีจินดา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ. บัวหลวง หรือ กองทุนบัวหลวง เปิดเผยว่า ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา กองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นเพื่อคนรุ่นใหม่ หรือ B-FUTURE ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มเทคโนโลยีทางการเงิน (ฟินเทค) ผ่านการเข้าซื้อหน่วยลงทุนของกองทุน Wellington Fintech Fund โดยมีสัดส่วนการลงทุน ณ วันที่ 30 ตุลาคม 2563 อยู่ที่ 7.92% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ของกองทุน เนื่องจากผู้จัดการกองทุนมองว่า การลงทุนในกลุ่มฟินเทคจะทำให้ผลตอบแทนของพอร์ตการลงทุนเติบโตได้ดีในระยะยาว
"ในช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนและเศรษฐกิจชะลอตัวจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและฟินเทค ยังมีการเติบโตที่ดีและสามารถให้ผลตอบแทนชนะตลาด เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด-19 เป็นตัวผลักดันและเร่งให้คนหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปเทคโนโลยีเริ่มเข้ามีบทบาทในชีวิตประจำวัน รวมถึงก่อให้เกิดการทำธุรกรรมออนไลน์เพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้ สถาบันการเงินเอง ก็มีการปรับตัวและให้บริการธุรกรรมทางการเงินออนไลน์มากขึ้น ดังนั้น กองทุนบัวหลวงจึงมองเห็นโอกาสและเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในกลุ่มฟินเทค ซึ่งฟินเทคได้ก้าวเข้ามามีบทบาทและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการให้กับผู้บริโภคในหลาย ๆ ด้าน นอกจากนี้หุ้นในกลุ่มนี้ จะเป็นหนึ่งในกลุ่มที่จะก้าวเข้ามีบทบาทหลักในอนาคตและจะมีการเติบโตที่สูง และเรามองว่าเป็นเพียงช่วงแรกของการใช้เทคโนโลยีทางการเงิน" นายพีรพงศ์ กล่าว
สำหรับสาเหตุที่ B-FUTURE เลือกลงทุนผ่านหน่วยลงทุนของกองทุน Wellington Fintech Fund เนื่องจาก กองทุนนี้มีการลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มฟินเทคในด้านต่างๆ เช่น ระบบชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-payment) ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security) รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT Infrastructure) เช่น ระบบคลาวน์ การจัดเก็บฐานข้อมูล และแพลตฟอร์มการให้บริการลูกค้า เป็นต้น โดยกองทุนนี้เป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่ดี บริหารจัดการโดย Wellington Management ซึ่งเป็นบริษัทจัดการชั้นนำที่มีชื่อเสียงมายาวนาน
ทั้งนี้ กองทุน B-FUTURE มีนโยบายเน้นลงทุนในตราสารทุนต่างประเทศของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์จากแนวโน้มการบริโภคในอนาคต ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี รวมถึงนวัตกรรม ซึ่งรองรับแนวโน้มการบริโภค การดำเนินธุรกิจและเศรษฐกิจในอนาคต ซึ่งผู้จัดการกองทุนพยายามเฟ้นหาการลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่ดีในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ทั้งการเลือกลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนต่างประเทศผสมผสานกับการลงทุนโดยตรงในหลักทรัพย์ต่างประเทศ
กองทุน B-FUTURE มีนโยบายจ่ายเงินปันผลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือตามที่บริษัทจัดการเห็นสมควร โดยจะพิจารณาจ่ายเงินปันผลครั้งละไม่เกิน 100% จากกำไรสะสม หรือกำไรจากการลงทุนสุทธิ หรือจากการเพิ่มขึ้นในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงาน และตั้งแต่จัดตั้งกองทุน เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2561 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว กองทุน B-FUTURE มีผลการดำเนินงานดีกว่าเกณฑ์มาตรฐานอย่างต่อเนื่อง มีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหน่วยลงทุนแล้ว 4 ครั้ง คิดเป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 0.9100 บาทต่อหน่วย