นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้มีโอกาสที่จะรีบาวด์ขึ้นได้หลังจากที่วานนี้ปรับตัวลงหนักตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย จากแรงขายทำกำไรของกองทุนหลังตลาดฯเข้าเขต Overbought แต่แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ตลาดต่างประเทศต่างก็ปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้า ทั้งตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ต่างเคลื่อนไหวในแดนบวก เช่นเดียวกับตลาดในยุโรป และตลาดสหรัฐฯที่ปรับขึ้นอย่างสดใส ขานรับความคืบหน้าวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ทำให้มองว่าการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 น่าจะบรรเทาลงได้ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มกระบวนการถ่ายโอนอำนาจให้แก่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ แสดงให้เห็นว่านายโดนัลด์ ทรัมป์ ยอมรับผลการเลือกตั้ง รวมถึงมีการคาดการณ์ว่า นางเจเน็ต เยลเลน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่
ปัจจัยดังกล่าวนี้ ทำให้มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะดีขึ้น และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจน่าจะเห็นภาพได้มากขึ้น ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่า และมีแรงซื้อกลับเข้ามาที่สินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงมีเงินไหลเข้ามาในเอเชียด้วย ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วย อีกทั้งราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวขึ้นแรง 4.3% สูงสุดในรอบ 8 เดือน ทำให้น่าจะมีแรงซื้อเข้ามาช่วยหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน นำโดยหุ้น PTT, PTTEP
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามปัจจัยการเมืองในประเทศวันนี้ที่จะมีการชุมนุมทางการเมือง และติดตามรายงานการประชุมของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ซึ่งได้ประชุมเมื่อวันที่ 4-5 พ.ย. ที่ผ่านมา รวมถึงติดตามการปรับน้ำหนักการลงทุนของ MSCI ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 30 พ.ย.นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,400-1,390 จุด ส่วนแนวต้าน 1,420-1,433 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (24 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 30,046.24 จุด เพิ่มขึ้น 454.97 จุด (+1.54%),ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,635.41 จุด เพิ่มขึ้น 57.82 จุด (+1.62%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,036.79 จุด เพิ่มขึ้น 156.16 จุด (+1.31%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 14.7 จุด, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 302.93 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 231.76 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 53.82 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 19.58 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์เปิด เพิ่มขึ้น 11.53 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.92 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (24 พ.ย.63) 1,401.63 จุด ลดลง 18.80 จุด (-1.32%)
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 361.89 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 พ.ย.63
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ม.ค.64 ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (24 พ.ย.63) ปิดที่ 44.91 ดอลลาร์/บาร์เรล พุ่งขึ้น 1.85 ดอลลาร์ หรือ 4.3%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (24 พ.ย.63) อยู่ที่ 0.99 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.31/32 ตลาดจับตาชุมนุมการเมืองบ่ายนี้ ให้กรอบ 30.20-30.50
- "บีดีเอ็มเอส" ถอยขายหุ้น "บำรุงราษฎร์" เกลี้ยงพอร์ต 22.97% รับเงินกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท หลังพยายามเทคโอเวอร์ แต่ไม่สำเร็จ เตรียมนำร่องขายล็อตแรกกว่า 9 พันล้านบาท วันที่ 26 พ.ย.นี้
- "สุพัฒนพงษ์" เปิด 2 เงื่อนไข รถเก่าแลกรถใหม่ แลกรถไฟฟ้า-รถผลิตในประเทศ ชงศบศ. 2 ธ.ค.นี้ เงื่อนไขรถเก่า 12 ปีขึ้นไป ลดหย่อนภาษี 1 แสนบาท สศช.เร่งหารือสรุปรายละเอียด อุตฯ เสนอลดหย่อนภาษีเงินได้แทนลดภาษีสรรพสามิต พร้อมดัน 7 แผนยกระดับอุตสาหกรรมอีวีทั้งระบบ
- ก.ล.ต. เตรียมปรับเกณฑ์ หนุน นักลงทุนออกไปลงทุนต่างประเทศคล่องตัวขึ้น ขานรับมาตรการธปท.เพิ่มวงเงินรายย่อย ลงทุนนอก พร้อมเล็งเปิดทางนักลงทุน ขอรับการจัดสรรวงเงินจากแบงก์ชาติได้โดยตรง เพิ่มความสะดวกในการลงทุน
- นายธนทัต ศุภวรรธนางกูร กลุ่มงานปรับโครงสร้างหนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ได้เร่งลูกหนี้และเจ้าหนี้หารือปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้เหมาะสมกับลูกหนี้แต่ละราย และให้เร่งสื่อสาร ให้ความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลือเกิดผลสำเร็จ หลังจาก ธปท. ได้กำหนดเงื่อนไขในการชำระหนี้และการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งจัดให้มีข้อมูลอย่างเพียงพอเพื่อการติดตามความคืบหน้าของกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ โดย ธปท. ตั้งทีมงานที่ติดตามการให้ความช่วยเหลือของสถาบันการเงินอย่างใกล้ชิด และคาดหวังว่าลูกหนี้และเจ้าหนี้จะสามารถก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไปด้วยกัน
*หุ้นเด่นวันนี้
- RATCH (เคทีบีฯ) เป้าเชิงกลยุทธ์ 60.00 บาท กลุ่มโรงไฟฟ้าและพลังงานยังเป็นกลุ่มที่มีโอกาสปรับตัวขึ้นไปตาม Flow ที่ไหลเข้ามา และมีโครงการใหม่ 2 โครงการที่กำลังจะ COD ในไตรมาส 4 รวม 174 MW ส่วนโรงไฟฟ้าหงสาก็จะดำเนินงานเต็มไตรมาส เทียบกับไตรมาส 2 ที่ปิดซ่อมบำรุงไปถึง 2 เดือน ส่วนกำไรสุทธิปี 2563-2564 ตลาดคาดการณ์เฉลี่ยใน Bloomberg ที่ 5.89 พันล้านบาท และ 7.29 พันล้านบาท ทรงตัว -1.17%YoY และเติบโต +23.77%YoY ในปี 2564 ตามลำดับ
- BJC (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อเก็งกำไร"เป้า 39.25 บาท มีมุมมองที่เป็นบวกต่อผลประกอบการในอนาคตของ BJC โดย ธุรกิจ Healthcare & Technical Supply Chain ได้รับแรงหนุนจากงบประมาณภาครัฐปี 64 ที่ออกมาแล้ว (คำสั่งซื้ออุปกรณ์การแพทย์/ยา) ธุรกิจ Packaging Supply Chain ได้รับประโยชน์จากการเริ่มเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลอง ด้านธุรกิจ Consumer Supply Chain ยังดีต่อเนื่องจาก New Normal ของผู้บริโภค ที่มีการใช้ทิชชู่ และ เจลล้างมือ เพิ่มขึ้น ขณะที่ในส่วนของ ธุรกิจ Modern Retail Supply Chain ยังชอบ mini Big C มีการเติบโตจำนวนสาขาอย่างต่อเนื่อง(ปัจจุบันมี 1,153 สาขา) คาดกำไรสุทธิปี 63 และ 64 ที่ 4,816 ล้านบาท (-33.84%YoY) และ 7,128 ล้านบาท (+48.01%YoY) ตามลำดับ
- ORI (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 9 บาท คาดกำไร Q4/63 ทำจุดสูงสุดของปีจากแผนการโอนคอนโดฯที่เร่งขึ้นเป็น 6 โครงการ ขณะที่ Margin คาดยังอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่องใกล้เคียงกับ Q3/63 และมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ใน Q4/63 จะเร่งตัวขึ้น รวมถึงการประกาศซื้อที่ดินในสื่อออนไลน์สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจต่อการเติบโตในอนาคต ราคาหุ้นยังซื้อขายที่ 2564PER ต่ำเพียง 6 เท่าและให้ปันผล 7%