นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท ในเครือ บมจ.พฤกษา โฮลดิ้งส์ (PSH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหลังปี 64 ผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นให้กลับมาอยู่ในระดับ 35% หรือสูงกว่า ซึ่งเป็นระดับที่บริษัทเคยทำได้มาอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ และเป็นระดับที่ส่งผลดีต่อภาพรวมความสามารถในการทำกำไร หลังจากปีนี้สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและมีการทำโปรโมชั่นต่างๆ ทำให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น กดดันอัตรากำไรขั้นต้นให้ลดลงไปที่ 33%
ทั้งนี้ แนวทางการผลักดันอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทได้มีการปรับกระบวนการด้านงานขายที่บริษัทนำเครื่องมือและเทคโนโลยีมาใช้ ทำให้สามารถลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) ลงได้ค่อนข้างมาก จากเดิม 21% ลงมาอยู่ที่ 18% ในปัจจุบัน และจะลดลงไปที่ 15-16% หลังปี 64
ขณะเดียวกัน การทยอยระบายสต็อกให้ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทสามารถลดค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการที่เหลือขายไปได้มากเช่นเดียวกัน แต่ยอมรับว่าในช่วงแรกของการระบายสต็อกให้ลดลงอย่างรวดเร็วก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากทำการตลาดด้วยการออกโปรโมชั่นกระตุ้นให้ลูกค้าเข้ามาซื้อ แต่หลังจากสต็อกลดลงไประดับหนึ่งแล้วทำให้ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เริ่มลดลง โดยในช่วงปี 63 ต่อเนื่องถึงปีหน้าบริษัทจะยังคงเดินหน้าระบายสต็อกอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมูลค่าสต็อกลดลงมาเหลือ 1.7 หมื่นล้านบาท จากต้นปีที่ 2.3 หมื่นล้านบาท และมีเป้าหมายทำให้ลดลงเหลือ 1.5 หมื่นล้านบาทในช่วงสิ้นปีนี้หรือต้นปี 64
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับทิศทางการพัฒนาโครงการใหม่ให้สอดคล้องกับภาวะตลาด และเน้นกลุ่มสินค้าที่ให้อัตรากำไร (มาร์จิ้น) ดี โดยที่การพัฒนาโครงการใหม่จะใช้ฮีโร่ โปรเจ็คต์ เป็นแกนหลัก ซึ่งเป็นกลุ่มโครงการในระดับกลาง-บนที่เป็นกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพ เจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และไม่ค่อยมีปัญหาด้านการขอสินเชื่อกับทางสถาบันการเงิน ทำให้บริษัทสามารถลดความเสี่ยงลงได้
ประกอบกับ ยังคงเจาะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ที่บริษัทมองว่ายังเป็นโอกาสหลังจากโควิด-19 ผ่านพ้นไปแล้ว เนื่องจากชาวต่างชาติยังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย จากความชื่นชอบที่จะมาพักอาศัยหรือท่องเที่ยวในประเทศไทย และราคาขายก็ไม่ได้สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค
นายปิยะ กล่าวว่า สำหรับการเปิดโครงการใหม่ในปี 64 วางแผนเปิดโครงการใหม่ 30-35 โครงการ มูลค่ารวม 3-3.5 หมื่นล้านบาท จากปีนี้เปิดไป 13 โครงการ มูลค่ารวม 1.57 หมื่นล้านบาท โดยจะเน้นโครงการแนวราบที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บนที่เป็นกลุ่มรายได้ประจำตั้งแต่ 30,000 บาท/เดือนขึ้นไป เนื่องเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัวมากนัก
ขณะที่กลุ่มระดับล่างที่เป็นพอร์ตส่วนใหญ่ของบริษัทได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก จากกำลังซื้อที่ลดลง และการขอกู้สินเชื่อยากขึ้น ทำให้บริษัทต้องปรับแผนการพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และรายได้ของบริษัทในปีหน้าตั้งเป้าเติบโต 10-15% จากปีนี้มั่นใจทำได้ตามเป้าหมาย 3.1 หมื่นล้านบาท
ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 64 บริษัทมองว่าจะกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ราว 5-10% จากปีนี้ที่ถือเป็นปีที่มีฐานต่ำ จากผลกระทบของโควิด-19 ที่ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวและกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ และความชัดเจนของวัคซีนโควิด-19 ที่มีความคืบหน้าออกมาใช้จริงมากขึ้น เป็นปัจจัยบวกให้กับภาพรวมของเศรษฐกิจที่จะกลับมาเติบโตขึ้นในปีหน้า จะส่งผลดีต่อภาคอสังหารมิทรัพย์ตามมา
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันในธุรกิจอสังหารมิทรัพย์ยังคงมีความรุนแรง จะเห็นจากการทำโปรโมชั่นกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่องในปีหน้า เพื่อเน้นการระบายสต็อก แต่ก็จะเริ่มเห็นการกลับมาเปิดโครงการใหม่ๆ มากขึ้น ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่โครงการระดับกลางที่ถือเป็นตลาดที่มีขนาดใหญ่ ทำให้การแข่งขันในปีหน้ายังคงรุนแรง