นายจิรเดช นุชสถิตย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายการเงิน บมจ.เนอวานา ไดอิ (NVD) เปิดเผยว่า การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นใหญ่ของ NVD จาก บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) กลับมาสู่กลุ่มสมวัฒนา ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและผู้บริหารบริษัทเดิมนั้น ไม่ได้มีผลต่อแผนการดำเนินการของบริษัท แต่อาจมีผลกระทบในด้านต้นทุนทางการเงิน โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงินที่อาจปรับสูงขึ้น หลังจาก NVD ไม่ได้อยู่ภายใต้เครือ S แล้ว ทำให้อัตราดอกเบี้ยที่เคยได้ในฐานะเครือ S ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น บริษัทจึงเตรียมเดินสายเจรจากับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เพื่อขอให้พิจาณาความเหมาะสมของสถานะการเงินของบริษัท และพิจารณาอัตราดอกเบี้ยใหม่ อย่างไรก็ตาม ดีลการซื้อ-ขายหุ้น NVD ระหว่างกลุ่มสมวัฒนาและ S ในสัดส่วน 51.56% ราคา 2.52 บาท/หุ้นนั้น จะต้องได้รับความเห็นชอบจากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ด้วย โดยที่หากได้รับความยินยอมจากเจ้าหนี้สถาบันการเงินทั้งหมดก็คาดว่าดีลดังกล่าวจะเสร็จสิ้นตามคาดการณ์ในช่วงเดือน ธ.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการบริหารจัดการด้านการเงินของบริษัทหลังจากไม่ได้อยู่ภายใต้ S แล้ว ก็ยังต้องมีการควบคุมและบริหารจัดการด้านการเงินอย่างมีประสิทธิภาพต่อเนื่อง รวมไปถึงพยายามหาแนวทางลดหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย โดยอาจจะพิจาณาขายที่ดินบางแปลงที่ยังไม่ได้พัฒนาและไม่ได้สร้างมูลค่าหรือผลตอบแทนให้กับบริษัทออกไป เพื่อนำเงินมาชำระคืนหนี้และต่อยอดการลงทุน โดยปัจจุบันบริษัทมีที่ดินในมือรวม 295 ไร่ จากจำนวน 116 แปลง สามารถรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ได้ในช่วง 5 ปี มูลค่ารวมกว่า 3.65 หมื่นล้านบาท
นายจิรเดช กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของ NVD จะไม่กระทบต่อแผนงานหลังจากนี้ โดยบริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการแนวราบที่มีความเชี่ยวชาญ ผนวกกับการรับงานรับเหมาก่อสร้างโครงการให้กับลูกค้าที่เป็นพันธมิตรประเภทงาน Turn Keys อย่างต่อเนื่อง และมองหาโอกาสสร้างรายได้ประจำด้วย โดยเฉพาะจากโครงการ Commercial ในทำเลกรุงเทพกรีฑาที่จะพัฒนาเป็น Township เพื่อกระจายความเสี่ยงให้กับธุรกิจ
สำหรับแผนงานในปี 64 ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการเปิดโครงการใหม่ เนื่องจากบริษัทยังคงระมัดระวังในการลงทุน เพราะมองว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยคงยังไม่กลับมาฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัว และยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวชัดเจน จึงกระทบต่อความมั่นใจและกำลังซื้อ
ดังนั้น บริษัทต้องพิจารณาการเปิดโครงการใหม่อย่างรอบคอบมากขึ้น แต่จะเน้นไปที่การเร่งขายสต็อกให้ลดลง เพื่อทำให้บริษัทมีรายได้เข้ามาได้เร็ว และมีต้นทุนในการบริหารโครงการที่เหลือขายลดลง รวมไปถึงการรับงาน Turn Keys ในโครงการของพันธมิตรเพื่อสร้างรายได้เข้ามา
ทั้งนี้ ในแง่ของยอดขายและรายได้ในปี 64 บริษัทยังคงตั้งเป้าเติบโต 10% โดยรายได้ที่เติบโตขึ้นจะมาจากการโอนโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ คือ โครงการ The Most อิสรภาพ ที่มีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงต้นปี 64 คาดว่าจะโอนเข้ามาได้ 488 ล้านบาทในปีหน้า โครงการ Banyan Tree Residences Riverside Bangkok ในส่วนของเพ้นท์เฮ้าส์ที่จะมีการโอนเข้ามาในปีหน้าราว 340 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการโอนโครงการแนวราบ Nirvana ELEMENT บางนา ที่จะเปิดขายในวันที่ 28 พ.ย.นี้ มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะมีการโอนเข้ามาในปีหน้ากว่า 200 ล้านบาท และยังมีรายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างเข้ามาเสริมอีก โดยที่บริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) ที่เป็นงาน Turn Keys รวม 183 ล้านบาท และมี Backlog จากการขายที่อยู่อาศัย 1.97 พันล้านบาท