บมจ.เหมราชพัฒนาที่ดิน (HEMRAJ)คงเป้าหมายรายได้ปี 50 ที่ 5 พันล้าน เติบโตจากปีก 35-40% จาก 3.7 พันล้านบาท แม้ว่าบริษัทจะมีการปรับเพิ่มยอดขายที่ดินเป็น 1.2 พันไร่จากเดิมคาดไว้ที่ 1 พันไร่ เนื่องจากกว่าจะรับรู้รายได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นน่าจะเป็นในช่วงปีหน้า
อย่างไรก็ตาม ปีนี้บริษัทยังคงรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ 43% ใกล้เคียงกับปีก่อน และคาดว่าสิ้นปี 50 บริษัทจะมี backlog ประมาณ 1.3 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 51
สำหรับการเจรจากับลูกค้ารายใหม่ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ โดยจะยังคงอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และปิโตรเคมี โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนโครงการอีโคคาร์ และมีการกำหนดสเป็คเป็นมาตรฐานยูโร ซึ่งทำให้มีโอกาสให้การส่งออกเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ผู้ประกอบการค่ายรถยนต์และอุตสาหกรรมต่อเนื่องสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
"ยอดรับรู้ไตรมาส 3 คงจะน้อยกว่าไตรมาส 4 (ปี50) เนื่องจากการเจรจาต่าง ๆ กว่าจะสรุปได้คงเป็นไตรมาส 4 "นายเผ่าพิทยา สมุทรกลิน ผู้อำนวยการ-นักลงทุนสัมพันธ์และวางแผน HEMRAJ กล่าว
ปัจจุบัน ลูกค้ากลุ่มยานยนต์ในนิคมอุตสาหกรรมของ HEMRAJ ได้แก่ บริษัท ออโต้อัลลายแอนซ์(ประเทศไทย) จำกัด หรือ AAT ซึ่งผลิตรถปิกอัพ ฟอร์ด และ มาสด้าในไทย และ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด (GM) ทั้งสองรายเป็นลูกค้าหลักน่าจะมีโอกาสขยายพื้นที่รองรับ หากตัดสินใจลงทุนในโครงการอีโคคาร์
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าจะมีผู้สนใจจากทั้งในและต่างประเทศที่ต้องการเข้ามาลงทุนอีกค่อนข้างมาก เพราะไทยถือเป็นประเทศผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ในภูมิภาคนี้ โดยหลายรายเข้ามาพูดคุยกับบริษัทว่าสนใจซื้อที่ดิน ซึ่งก็จะเป็นโอกาสในการขายที่ดินเพิ่มขึ้น
*เสนอขายหุ้นกู้ใน Q4 นี้/หาโครงการอสังหาฯใหม่แทนเดอะพาร์ค
นายเผ่าพิทยา คาดว่า บริษัทจะสามารถทยอยเสนอขายหุ้นกู้ตั้งแต่ไตรมาส 4/50 จากวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด 6 พันล้านบาท โดยคาดว่าจะมีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือเสร็จภายในก.ย.นี้ ซึ่งบริษัทจะนำเงินมาใช้ลงทุนกิจการในอนาคต ได้แก่ พัฒนานิคมอุตสาหกรรม โครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ทดแทนโครงการเดอะพาร์ค ชิดลม
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งใหม่ที่ให้ผลตอบแทน(IRR)สูง และราคาขายที่เหมาะสม โดยในปลายปีนี้โครงการ เดอะพาร์คฯ จะรับรู้รายได้ถึง 95% ของมูลค่าโครงการ โดยยอดรับรู้รายได้เฉพาะในปีนี้ 2.7 พันล้านบาท ครึ่งปีแรกรับรู้ฯ ไปแล้ว 1.2 พันล้านบาท และจะรับรู้ฯอีก 1.5 พันล้านบาทในครึ่งปีหลัง ส่วนทีเหลืออีก 300 ล้านบาทจะรับรู้ฯ ในปีหน้า
"อสังหาฯโครงการใหม่ๆ เป็นไปได้ทั้งคอนโดฯ สำนักงาน หรือโครงการ Low rise แต่ราคาต้องไม่สูงเกินไป ซึ่งปีนี้ยังไม่รู้จะได้ข้อสรุปเมื่อไร ก็จะส่งผลต่อปีหน้าที่จะทำให้รายได้บริษัท drop ลงจากปี 50 ถ้าหาโครงการใหม่มาทดแทนไม่ได้ แต่ยังดีที่มี backlog มาช่วย" นายเผ่าพิทยา กล่าว
ขณะนี้บริษัทได้เข้าซื้อตึกยูเอ็มทาวเวอร์ และ ที่ดินบริเวณใกล้ตึกยูเอ็มทาวเวอร์จำนวน 2 ไร่ รวมเป็นเงินกว่า 800 ล้านบาท บริษัทจะเริ่มรับรู้รายได้จากค่าเช่าในไตรมาส 3/50 ซึ่งปัจจุบันมีผู้เช่า 75% ของพื้นที่ทั้งหมด 2.75 หมื่นตร.ม.
"เราซื้อตึกนี้ได้ราคาถูกเมื่อเทียบกับขนาดของตึกและจำนวนที่ดินที่ได้ตรงด้านหลังของตึก 2 ไร่ และอนาคตจะมีแอร์พอร์ตเรลลิงค์ใกล้ตึก โดยเบื้องต้นปีนี้จะใช้เงินปรับปรุงตึกประมาณ 12 ล้านบาท" นายเผ่าพิทยา กล่าว
ทั้งนี้ สัดส่วนรายได้ปี 50 จะอยู่ทีการขายที่ดิน 40% รายได้จากสาธารณูปโภค 20% รายได้จากอสังหาริมทรัพย์ 25% โรงงานให้เช่าและขาย 10% ที่เหลือเป็นรายได้จากสาธารณูปโภคอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีแผนศึกษาลงทุนโรงไฟฟ้าขนาดย่อม(SPP) 120-150 เมกะวัตต์ ซึ่งจะร่วมทุนพันธมิตรในประเทศ คาดว่าสรุปการลงทุนในปี 51 ส่วนการประมูลโรงไฟฟ้า IPP ขณะนี้เบื้องต้นจะเสนอ 2 โรงๆละ 700 เมกะวัตต์ โดยหากใช้เงินลงทุนเกินกว่า 900 ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทจะร่วมทุนเพียง 35% แต่หากเงินลงทุนน้อยกว่านั้นจะร่วมทุนเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 40%
ทั้งนี้ บมจ. โกลว์พลังงาน (GLOW) ร่วมทุนกับ HEMRAJ ในบริษัท เก็คโค่-วัน จำกัด เพื่อลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าทั้ง IPP ในประเทศไทยและโครงการโรงไฟฟ้าในประเทศเพื่อนบ้าน เบื้องต้นร่วมทุนฝ่ายละ 50% แต่หากประมูลได้ GLOW จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 60-65%
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/เสาวลักษณ์/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--