นายธีรภัทธ์ เพ็ชรโปรี รองกรรมการผู้จัดการสายงานการเงินและบัญชี บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มั่นใจปี 63 กำไรสุทธิทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) จาก 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 264.26 ล้านบาท เติบโตกว่าปีก่อนทั้งปี รวมถึงในอดีตที่ผ่านมาด้วย เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายโดยรวมปรับตัวลดลง, ต้นทุนค่าลิขสิทธิ์ปรับตัวลดลง รวมถึงมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ส่วนรายได้ก็คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ 2 พันล้านบาท แม้ 9 เดือนมีรายได้อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาทก็ตาม เนื่องจากในไตรมาส 4/63 ยังมีงานที่รอส่งมอบอีกมาก โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีงานในมือ (Backlog) จากการจำหน่ายคอนเทนท์ในประเทศและต่างประเทศ อยู่ราว 300 ล้านบาท และยังคงเดินหน้าทำสัญญาขายลิขสิทธิ์คอนเทนท์อย่างต่อเนื่อง เบื้องต้นคาดแนวโน้มรายได้ในไตรมาส 4/63 ก็จะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาส 3/63
สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 64 เบื้องต้นคาดว่ารายได้และกำไรสุทธิ น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากปีนี้ จากการเข้าซื้อกิจการบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล ลิฟวิ่ง เน็ทเวิร์ค จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ ความงาม และสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งนับเป็นการต่อยอดการขยายธุรกิจ และช่วยผลักดันรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญในระยะต่อไป โดยบริษัทฯ คาดว่าการเข้าทำธุรกรรมการซื้อหุ้น JKN Global Living จะแล้วเสร็จได้ภายในครึ่งปีแรกของปี 64 อีกทั้งยังมีบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท เจเคเอ็น เอ็มเอ็นบี จำกัด (JKN MNB) ประกอบธุรกิจด้านการจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม คาดว่าจะสร้างยอดขายได้มากขึ้น จากเดิมที่มียอดขายราว 45 ล้านบาทในปีก่อน
ล่าสุด บริษัทฯ มีการอนุมัติจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท เจเคเอ็น แฮร์นาว จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจด้านการรักษาปัญหาด้านเส้นผมอย่างครบวงจร, บริษัท เจเคเอ็น วันดี คอลเลจ จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจสถาบันสอนทำอาหาร และบริษัท เจเคเอ็น ออร่า จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจคลินิกศัลยกรรมตกแต่ง ซึ่งจะดำเนินการได้ภายในเดือนมิ.ย.64 ก็น่าจะทำให้บริษัทฯ เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดย JKN วางเป้าหมายสัดส่วนรายได้จากธุรกิจคอมเมิร์ซดังกล่าวที่ 50% ในอนาคต
ขณะที่ธุรกิจคอนเทนท์ ในปี 64 ก็คาดว่าจะเติบโตได้ 10% จากการมุ่งเน้นการส่งออกมากขึ้น โดยจะกระจายไปทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันก็มีการเจรจาอยู่กับพันธมิตรญี่ปุ่น และมองโอกาสขยายไปยังละตินอเมริกาในหลายประเทศด้วย รวมถึงตะวันออกกลางด้วย วางเป้าสัดส่วนส่งออกเพิ่มเป็น 40-45% จากสิ้นปีนี้คาดอยู่ที่ 40% ส่วนที่เหลือจะเป็นการขายลิขสิทธิ์ในประเทศ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมีเป้าหมายภายใน 2 ปีจากนี้จะมีสัดส่วนส่งออกขยับขึ้นมาที่ 50% และในประเทศ 50%