นายจรัญ วิวัฒน์เจษฎาวุฒิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจ.อาร์.ดับเบิ้ลยู.ยูทิลิตี้ (JR) เปิดเผยว่า งานในมือ (Backlog) ของบริษัทมีโอกาสทะลุ 10,000 ล้านบาทในปี 64 จากปีนี้คาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 6,200 ล้านบาท หากโครงการรถไฟฟ้าออกมาเปิดประมูลเพิ่มเติม ขณะที่ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าของภาคเอกชนที่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าย่อย อาทิ โรงไฟฟ้าของ บมจ. บี.กริม เพาเวอร์ (BRGIM) จำนวน 7 โรง ซึ่งจะเริ่มเปิดให้เข้าร่วมประมูลในช่วงต้นปี 64 ซึ่งมีมูลค่างานโครงการละ 200-500 ล้านบาท เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าหินกองของ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี (RATCH) ซึ่งบมจ. ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) เป็นผู้ก่อสร้างคาดว่าจะเห็นการเปิดประมูลงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัทในปี 64 เช่นกัน จากปัจจุบันบริษัทมี Backlog มูลค่าราว 6,200 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องไปจนถึงปี 66 โดยจะสนับสนุนให้รายได้ในปี 64 มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด และจะมีการรับรู้รายได้ส่วนใหญ่ในปี 65
ทั้งนี้ภายหลังจากการระดมทุนด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทฯมีศักยภาพด้านฐานทุนสูงขึ้น สามารถประมูลงานในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ประสิทธิภาพในการทำกำไรจะสูงขึ้นจากการที่ต้นทุนบางส่วนเป็นต้นทุนคงที่ไม่ได้เพิ่มตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีภาพลักษณ์ที่ดีและมีความพร้อมมากขึ้น ทำให้มีโอกาสในการเข้าประมูลงานขนาดใหญ่ ซึ่งจะสนับสนุนให้ backlog เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง "วันนี้เราพอใจกับราคาหุ้นที่เปิดเทรดวันแรกสะท้อนคสามเชื่อมั่นของนักลงทุน ด้วยธุรกิจที่มีความเข้มแข็ง พื้นฐานของ JR ที่ดี และยังมีโอกาสในการเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีถัดๆไป"นายจรัญ กล่าว
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและแกนนำในการเสนอขายหุ้น IPO ของ JR กล่าวว่า การเปิดซื้อขายหุ้นในวันแรกประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของบริษัทฯ ซึ่งจะสามารถนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปต่อยอดธุรกิจ สร้างความเข้มแข็ง พร้อมทั้งผลักดันการเติบโตให้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมาย รวมทั้งเชื่อว่า JR จะเป็นหุ้นที่มีคุณสมบัติเป็นหุ้น Super Growth ได้อย่างแน่นอน
"จากนี้ไป JR มีแนวโน้มการเติบโตที่น่าสนใจอย่างมาก เนื่องจากมีงานในมือรองรับไว้แล้วในระยะยาว ขณะที่ผลงานที่ผ่านมามีการบริหารจัดการโครงการรวมทั้งต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อเข้าจดทะเบียนใน SET แล้ว จะทำให้บริษัทฯมีกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น สามารถรับงานโครงการขนาดใหญ่ และสร้างช่องทางรายได้จากลูกค้าในอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้น ตลอดจนสามารถยกระดับมาตรฐานการทำงานให้อยู่ในระดับสากลเป็นที่ยอมรับของคู่ค้า และพันธมิตรในระยะยาว"นายสมภพกล่าวในที่สุด