บมจ. เอ็ม ดี เอ็กซ์ (MDX) คาดหวังโครงการโรงไฟฟ้าน้ำงึม 3 และ โครงการส่วนต่อขยายโครงการเทิน-หินบุน จะช่วยผลักดันบริษัทเติบโตก้าวกระโดดในปี 56 หลังจากเริ่มเดินเครื่อง แต่ในช่วงปี 50 จนถึงปี 56 ผลประกอบการยังคงทรงตัว เพราะยังไม่มีโครงการใหม่ โดยแต่ละปีลุ้นทำรายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม ตั้งเป้าขายได้อย่างน้อยปีละ 30 ไร่ จากปัจจุบันที่มีที่ดินพร้อมขาย 600 ไร่
นายปรีชา เศขรฤทธิ์ กรรมการบริหาร MDX เปิดเผยว่า โครงการน้ำงึม 3 ซึ่งเป็นโครงการสร้างเขื่อนผลิตไฟ้พลังน้ำขนาด 440 เมกะวัตต์ในลาว คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 56 โดยเริ่มจ่ายไฟให้การไฟฟ้าฝ่ายการผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) จากที่จะเริ่มก่อสร้างในปี 52 โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาค่าไฟฟ้ากับกฟผ.
ขณะที่ส่วนต่อขยายโครงการเทิน-หินบุน ซึ่งสิทธิในการขยายกำลังการผลิตเท่าตัวจาก 210 เมกะวัตต์ เป็น 420 เมกะวัตต์ ทั้งนี้ หากเจรจาค่าไฟได้ก็จะมีการเจรจากับการร่วมทุนของพันธมิตรชัดเจนขึ้น แต่ยังไม่กำหนดจะสร้างเมื่อใด รวมถึงเงินลงทุน ขึ้นกับแผนการรับซื้อไฟจากกฟผ.แต่โดยทั่วไปจะใช้เงินลงทุน 1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อ 1 เมกะวัตต์
"รายได้และกำไรสุทธิจเริ่มก้าวกระโดดในปี 56 แต่ในช่วงนี้รายได้จากไฟฟ้าก็ยังมาจากโครงการเดิม แต่เรามีสินค้าพร้อมขาย ซึ่งถ้าผลักดันยอดขายที่ดินนิคมฯก็จะช่วยผลประกอบการดีขึ้น ดังนั้นในช่วง 5 ปีนี้ก็คงไม่มีอะไรหวือหวาจนกว่าโครงการใหม่จะเข้ามา"นายปรีชา กล่าวกับ"อินโฟเควสท์"
ปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากธุรกิจไฟฟ้าคิดเป็น 60% และจากยอดขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม 40% อนาคตหากบริษัทดำเนินโครงการเกี่ยวกับไฟฟ้าใหม่ก็จะทำให้สัดส่วนเปลี่ยนไป
ทั้งนี้ โครงการเทิน-หินบุนที่บริษัทลงทุนผ่านบริษัท เอ็ม ดี เอ็กซ์ ลาว จำกัด ถือหุ้น 20% และได้สิทธิขยายโครงการ ส่วนโครงการน้ำงึม 3 มีมูลค่าโครงการ 708 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเอ็ม ดี เอ็กซ์ ลาว ถือหุ้น 27%
สำหรับโครงการสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำที่สาลาะวินในสหภาพพม่า บริษัทได้ศึกษามาระยะหนึ่ง ต้องยอมรับว่าต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก เพราะเป็นโครงการขนาดใหญ่ รวมทั้งกำลังหาผู้ร่วมทุนที่จะมาช่วยด้านการเงินและเทคนิค ส่วนกลุ่มพันธมิตรก็ยังไม่ได้หารือกันในรายละเอียด
"เราคงต้องหาโอกาสขยายธุรกิจได้แค่ไหน ส่วนที่จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับผลการศึกษา โครงการขนาดใหญ่ ก็ต้องมีผู้ร่วมทุนเข้ามาแต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน มองแต่เพียงว่ามีโอกาสที่จะดำเนินโครงการได้ ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาประเมินอีกครั้ง รวมถึงเงินลงทุน"นายปรีชา กล่าว
ทั้งนี้ ธุรกิจไฟฟ้าบริษัทจะลงทุนผ่าน บริษัท จี เอ็ม เอส เพาเวอร์ จำกัด โดย MDX ถือ 32%
*คาดรายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน/ขายที่ดินนิคมฯชะลอ
นายปรีชา คาดว่า รายได้ปีนี้ใกล้เคียงปีก่อน 893 ล้านบาท โดยรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ กฟผ.ได้ค่อนข้างแน่นอน ขณะที่การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ จ.ฉะเชิงเทราในช่วงไตรมาส 2 เริ่มชะลอตัว และครึ่งปีหลังยังไม่มั่นใจว่าจะขายได้มากน้อยเพียงใด จากไตรมาสแรกขายได้แล้ว 25 ไร่ ขณะที่บริษัทตั้งเป้าขายได้อย่างน้อยปีละ 30 ไร่ และปัจจุบันที่มีที่ดินพร้อมขาย 600 ไร่
"ปีนี้คิดว่าไม่น่าจะโต คือโครงสร้างรายได้ต่างๆ เหมือนเดิม และโครงการรายได้หลักไฟฟ้าก็ยังเป็นโครงการเดิม"
นายปรีชา กล่าว
จากงบการเงินรวมปี 49 MDX แจ้งว่ามีรายได้จากขายที่ดิน 285 ล้านบาท และ ขายไฟฟ้าประมาณ 536 ล้านบาท และรายได้อื่น ๆ โดยยอดขายที่ดินอยู่ที่ 72 ไร่ ส่วนกำไรหลังหักภาษีอยู่ที่ 408 ล้านบาท
นายปรีชา กล่าวว่า ในช่วงนี้ยอดขายที่ดินชะลอตัว เนื่องจากต่างชาติชะลอดูความชัดเจนของการเมือง ซึ่งเป็นโมเมนตัมเก่าที่ค้างอยู่ตั้งแต่ช่วงปลายปี 49 (ตอนปฏิวัติ) ซึ่งคนลงทุนก็เหมือนคนปลูกบ้าน ก็ต้องดูสถานการณ์ให้แน่นอนก่อน
อย่างไรก็ดี ลูกค้าของบริษัทกระจายไปในหลายกลุ่ม แต่ส่วนใหญู่เป็นผู้ประกอบการจากญี่ปุ่น เกาหลี และ สิงคโปร์
ส่วนขาดทุนสะสมที่มีอยู่ 4.2 พันล้านบาทนั้น นายปรีชา คาดว่า จะนำกำไรจากการดำเนินงานมาทยอยล้างขาดทุนสะสม แต่ยังไม่มีแผนแน่นอนจะล้างขาดทุนได้หมดเมื่อไร แต่ช่วงนี้ก็คงยังจ่ายเงินปันผลไม่ได้
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--