นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม บมจ.เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น (KTIS) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ปี 62/63 (ต.ค. 62-ก.ย. 63) มีรายได้รวม 14,021.8 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 568.7 ล้านบาท แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่าง ๆ จำนวนมาก รวมถึงธุรกิจน้ำตาลทราย ที่ได้รับผลกระทบจากราคาในตลาดโลกที่ลดลงอย่างมากในช่วงเดือน เม.ย. เป็นผลจากการล็อกดาวน์ส่งผลให้เกิดการชะงักงันของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อีกทั้งผลผลิตอ้อยก็ลดลงเนื่องจากปัญหาภัยแล้ง แต่กลุ่ม KTIS ก็ยังสามารถทำกำไรในปี 62/63 ได้เพราะการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งนี้ ต้นทุนขายและการให้บริการในปี 62/63 ลดลง 1,343.3 ล้านบาท หรือลดลง 10.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารก็ลดลง 1,246.9 ล้านบาท หรือ 42.5% จากเงินนำส่งสำนักงานกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย ค่าขนส่งน้ำตาลทราย ค่าฝากน้ำตาลทรายและกากน้ำตาล รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรลดลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง 90.1 ล้านบาท หรือ 29.7% และค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ลดลง 38.6 ล้านบาท หรือ 32.4%
สำหรับสัดส่วนรายได้ของสายธุรกิจต่าง ๆ ณ สิ้นรอบบัญชีปี 62/63 สายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายยังคงมีสัดส่วนสูงสุดคือ 71.5% รองลงมาเป็นธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล สัดส่วน 10.2% ธุรกิจผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล สัดส่วน 8.6% ส่วนธุรกิจผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษชานอ้อย มีสัดส่วนรายได้ 5.2% และอื่นๆ อีก 4.5%
"จะเห็นว่ารายได้ส่วนใหญ่ของเรายังคงมาจากสายธุรกิจผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย ดังนั้น ราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกที่ปรับเพิ่มขึ้น และคาดว่าราคาเฉลี่ยปี 64 จะสูงกว่าปี 63 ก็จะทำให้สายธุรกิจน้ำตาลมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันที่สูงขึ้นก็ส่งผลดีต่อธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอลด้วย จึงเชื่อว่าธุรกิจของกลุ่ม KTIS ในปี 63/64 จะมีการเติบโตที่ดีทั้งรายได้และกำไร"นายณัฎฐปัญญ์ กล่าว
อนึ่ง KTIS รายงานผลการดำเนินงานปี 62/63 สิ้นสุดก.ย.63 มีกำไรสุทธิ 568.7 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 740.08 ล้านบาท