นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) กล่าวว่า สถานการณ์วิกฤติโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจของไทย รวมถึงภาคธนาคารด้วย อย่างไรก็ตามธนาคารก็ได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนการดูแลและให้คำปรึกษา โดยเฉพาะในกลุ่มของลูกค้าผู้ประกอบการเพื่อทำให้ลูกค้าได้รับผลกระทบน้อยที่สุด และสามารถดำเนินการต่อไปได้ โดยตั้งแต่ช่วงเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา ธนาคารได้เข้าไปช่วยเหลือทั้งในส่วนการลดภาระค่าใช้จ่าย เช่น ลดยอดการผ่อนต่อเดือน พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย และสนับสนุนเงินทุนด้วยสินเชื่อเสริมสภาพคล่อง
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมาหลังจากสิ้นสุดมาตรการพักชำระหนี้ พบว่าลูกค้าผู้ประกอบการสัดส่วน 81% จากลูกค้าที่เข้ามาตรการพักชำระหนี้กว่า 100,000 ราย สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ปกติ ขณะที่กลุ่มธุรกิจส่วนใหญ่ที่ยังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติจะเป็นธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างมาก โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่ยังไม่กลับมาฟื้นตัวขึ้นตามภาวะอุตสาหกรรม
สำหรับภาคธนาคารในประเทศไทย แม้จะได้รับแรงกดดันจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ก็ยังคงมีความแข็งแกร่งมากกว่าในช่วงวิกฤติปี 40 ที่เกิดขึ้น จากเงินทุนสำรองของธนาคารในระบบที่มีอยู่ในระดับที่สูงมากในปัจจุบัน สะท้อนภาพความแข็งแกร่งและการมีเสถียรภาพของระบบธนาคารไทย อย่างไรก็ตามภาคธนาคารยังต้องมีการบริหารจัดการต่าง ๆ อย่างรัดกุม โดยเฉพาะในด้านการควบคุมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ธุรกิจธนาคารก็ได้ให้ความสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ และสร้างการรับรู้การใช้บริการด้านดิจิทัลให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญที่รองรับการเปลี่ยนผ่านของการเปลี่ยนแปลงในภาคธนาคารที่เกิดขึ้น เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชัน K PLUS ของธนาคารที่ได้พัฒนาให้เป็นแพลตฟอร์มสำคัญในการสร้าง Digital Lifestyle Ecosystem เต็มรูปแบบ โดยนำศักยภาพด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง และความเชี่ยวชาญการให้บริการโซลูชันทางการเงินอย่างครบวงจรมาทำงานร่วมกับพันธมิตรธุรกิจชั้นนำระดับโลกที่มีสินค้าและบริการที่ลูกค้าใช้เป็นประจำ
ทั้งนี้ ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายมีลูกค้าใช้งาน K PLUS รวม 15 ล้านราย ในสิ้นปี 63 ซึ่งจะมีปริมาณการทำธุรกรรมทางการเงินรวมทุกประเภทกว่า 2.9 พันล้านรายการถึงสิ้นปีนี้