นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือน พ.ย.63 พบว่า ในอีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีอยู่ที่ระดับ 161.41 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 161% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรงอย่างมาก" เป็นครั้งแรกในรอบสองปี
ทั้งนี้ นักลงทุนคาดหวังการไหลเข้าออกของเงินทุนเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ รวมถึงผลสำเร็จของวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
FETCO Investor Confidence Index สำรวจในเดือน พ.ย.63 ได้ผลสำรวจโดยสรุป ดังนี้
ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (กุมภาพันธ์ 2564) อยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรงอย่างมาก" (ช่วงค่าดัชนี 160 - 200) ครั้งแรกในรอบ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 161.41 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 161%
ความเชื่อมั่นนักลงทุนบุคคลและสถาบันในประเทศ ปรับตัวขึ้นอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรง" และความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์และนักลงทุนต่างชาติปรับตัวขึ้นอยู่ในเกณฑ์ "ร้อนแรงอย่างมาก"
หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดพลังงาน (ENERGY)
หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือหมวดประกันภัยและประกันชีวิต (INSUR)
ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าออกของเงินทุน
ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ สถานการณ์การเมืองในประเทศ
ผลสำรวจ ณ เดือน พ.ย.63 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับตัวเพิ่มขึ้น 91% อยู่ที่ระดับ 150.00 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น 167% อยู่ที่ระดับ 166.67 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น 150% อยู่ที่ระดับ 156.52 และกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับตัวเพิ่มขึ้น 338% อยู่ที่ระดับ 175.00
นายไพบูลย์ กล่าวว่า ในช่วงเดือน พ.ย.63 SET index ฟื้นตัวแรงตอบรับข่าวดีทั้งจากปัจจัยนอกประเทศ ที่ได้รับข่าวความสำเร็จของวัคซีนป้องกันโควิด-19 ทั้งของ Pfizer/BioNTech, Moderna และ AstraZeneca ที่มีประสิทธิผลในการป้องกันการติดโควิด-19 สูง อีกทั้งข่าวความชัดเจนของผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะได้นายโจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 รวมถึงข่าวดีจากปัจจัยในประเทศจากการประกาศอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 3/63 แม้จะยังหดตัวที่ -6.4% แต่นับว่าปรับตัวดีกว่าคาดการณ์ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯมีกำไรสุทธิในไตรมาส 3/63 เพิ่มขึ้น 24% จากไตรมาสก่อนหน้าหลังมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ Covid-19 ผ่อนคลายลง จากปัจจัยข้างต้นส่งผลให้เงินลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเป็นบวกสุทธิเป็นเดือนแรกของปี โดย ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน SET Index ปิดที่ 1,408.31 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17.9% จากเดือนก่อนหน้า
นักลงทุนคาดหวังการไหลเข้าออกของเงินทุนเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด รองลงมาคือการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศ และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ รวมถึงผลสำเร็จของวัคซีนป้องกันโควิด-19 สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
ปัจจัยต่างประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา และการเริ่มดำเนินการตามนโยบายของนาย โจ ไบเดน สถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรปหลังเพิ่มความเข้มงวดมาตรการล็อกดาวน์จากการระบาดระลอกสองของโควิด-19 ในส่วนของปัจจัยในประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ความไม่แน่นอนทางการเมืองซึ่งยังเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มาตรการภาครัฐในกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคเอกชนเพิ่มเติม และการทยอยอนุมัติงบประมาณให้แก่โครงการภายใต้กรอบวงเงิน 4 แสนล้านบาท"
สำหรับดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือน ธ.ค.63 ผลจากดัชนีสะท้อนการคาดการณ์ของตลาดที่คงมุมมองเช่นเดียวกับครั้งที่แล้วว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะรักษาอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ในการประชุมเดือน ธ.ค.นี้
ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และอายุ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 4 มีแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลงมากนักจากการสำรวจเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 63 อย่างไรก็ตาม มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากขึ้นที่คาดการณ์ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี และ 10 ปีอาจปรับตัวลดลงเนื่องจากในช่วงปลายปีจะมีเม็ดเงินจากการซื้อกองทุนเข้ามาในตลาดตราสารหนี้เพิ่มขึ้นและอาจมีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ไทยมากขึ้นจากปัจจัยด้านการเมืองสหรัฐที่มีความชัดเจนมากขึ้นและนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีไบเดนที่มีแนวโน้มประนีประนอมมากกว่าทำให้เงินลงทุนจากสหรัฐไหลเข้า Emerging Markets มากขึ้น
นางสาวอริยา ติรณะประกิจ รองกรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Expectation Index) เดือน ธ.ค.63 โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุม กนง. รอบเดือนธันวาคมนี้อยู่ที่ระดับ 46 ลดลงเล็กน้อยจากครั้งที่แล้วและยังอยู่ในเกณฑ์ "ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)" สะท้อนมุมมองของตลาดที่คาดว่าการประชุม กนง.ในเดือน ธ.ค.นี้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ในระดับต่ำแล้ว และ กนง. อาจต้องการเก็บกระสุนไว้ใช้ในยามจำเป็น ถ้าเศรษฐกิจไทยยังมีแนวโน้มอ่อนแอ และมาตรการดูแลค่าเงินบาทไม่ส่งผลอาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตัดสินใจลดดอกเบี้ย
- ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปีและ 10 ปี ณ สิ้นไตรมาส 4 ยังคงอยู่ในเกณฑ์ "ไม่เปลี่ยนแปลง (Unchanged)" โดยปรับตัวลดลงจากครั้งก่อน สะท้อนมุมมองของตลาดที่ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 5 ปี และ 10 ปีน่าจะยังทรงตัวใกล้เคียงระดับ 0.84% และ 1.41% ตามลำดับ ณ วันที่ทำการสำรวจ (23 พ.ย. 63) โดยปัจจัยที่มีผลต่อการคาดการณ์ ได้แก่ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจในประเทศ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยโลก และ Fund Flow ต่างชาติ