นายวิเวก ดาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เมก้า ไลฟ์ไซแอ็นซ์ (MEGA) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ปี 64 จะเติบโตในอัตราเลขหลักเดียวระดับสูง (High Single Digit) หลังสถานการณ์ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่เริ่มฟื้นตัว ขณะเดียวกันเทรนด์ใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคที่มีมากขึ้นก็น่าจะส่งผลดีต่อเนื่องกับยอดขายวิตามินของบริษัทด้วย
อย่างไรก็ตามบริษัทได้วางแผนการดำเนินงานช่วง 5-7 ปีข้างหน้า จะมีรายได้และกำไรเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก (Double Digit) จากการเข้าไปลงทุนในบริษัท PT Futamed Pharmaceuticals ในอินโดนีเซีย ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตยา หรือการทำตลาดผลิตภัณฑ์เสริมเพื่อสุขภาพ โดยซื้อหุ้น 83.33% และได้เปลี่ยนชื่อเป็น MEGA Futamed โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ได้ไปดำเนินการในส่วนของการขยายโรงงาน พัฒนาโรงงานเพื่อเก็บยาในประเทศดังกล่าว ขณะที่ในช่วงปลายปี 64 ก็มีแผนปรับปรุงโรงงาน และลงทุนเครื่องจักรต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ ตั้งเป้าหมายจะมีรายได้และกำไรจากตลาดอินโดนีเซียราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 68
นอกจากนี้การขยายตลาดต่อเนื่องในไทย เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย บริษัทฯ คาดว่าการเติบโตจะอยู่ในอัตราเลขหลักเดียวระดับสูง จากยอดขายแบรนด์ Mega We Care และ Maxxcare เป็นหลัก ขณะเดียวกันในประเทศแถบแอฟริกา ก็คาดว่าจะมีการเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักได้ภายใน 5 ปี จากตลาดที่ได้มุ่งเน้นไปในแอฟริกาตะวันออกและแอฟริกาตะวันตก ถือว่ามีทีมงานพร้อม สินค้าพร้อม และยังมีการลงทุนในการสร้างแบรนด์ รวมถึงในตลาดในลาตินอเมริกาด้วย ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าสัดส่วนยอดขายที่มาจากผลิตภัณฑ์ยา จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ 40% ในอนาคต จากปัจจุบันอยู่ที่ 30% ส่วนที่เหลือจะเป็น New Product หรือผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสำหรับ เด็ก แม่ และคนสูงอายุ
ส่วนการยกเลิกการร่วมทุนกับพันธมิตรในการสร้างโรงงานที่เมียนมานั้น มองว่าไม่คุ้มกับการลงทุน หลังการศึกษาพบว่ามีกฎระเบียบที่ซับซ้อนว่าคาด โดยบริษัทฯ ก็ได้เจรจากับพันธมิตรเพื่อหาแนวทางอื่น เพื่อจะพัฒนายาในประเทศอื่นแทน เช่น ประเทศอินเดีย หรือประเทศที่มีโรงงานอยู่แล้วด้วยการจ้างบริษัทนั้น เป็นต้น
นายวิเวก กล่าวว่า ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/63 คาดว่าจะเติบโตได้ไม่มากนัก เนื่องจากการแข่งขันเริ่มสูงขึ้น โดยยังยืนยันว่าทั้งปี 63 ยอดขายจะเติบโตกว่าปีก่อน หลังวิตามินยังมีความต้องการสูงในร้านขายยาและโรงพยาบาล