นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.นอร์ทอีส รับเบอร์ (NER) เปิดเผยถึงเป้าหมายการเติบโตของรายได้รวมในปี 2564 ว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ 22,000 ล้านบาท โดยมองว่าความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมยังดีต่อเนื่อง ซึ่งปัจจัยหนุนหลายด้าน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการผลิตถุงมือยาง นอกจากนี้หากสถานการณ์โควิด คลี่คลายก็จะทำให้การเดินทางมากขึ้นก็ยังส่งผลดีต่อความต้องการใช้ยางรถยนต์เพิ่มมากขึ้น
ส่วนปริมาณการขายคาดว่าจะสามารถทำยอดขายยางพาราอยู่ที่ 410,000 ตัน จากกำลังการผลิตทั้งหมด 465,000 ตัน นอกจากนี้ราคาขายเฉลี่ยในปี 2564 จะสูงกว่าปี 2563 ค่อนข้างมากเนื่องจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อของผู้ซื้อยาง
สำหรับสัดส่วนของยอดขายในปี 64 ทางบริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 50:50 ซึ่งมองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่ แต่ปริมาณของผู้ส่งออกยางธรรมชาติในประเทศไทยมีปริมาณลดลง
ด้านความคืบหน้าของลูกค้ารายใหม่บริษัทได้เซ็นสัญญา Long Term Contracts กับบริษัท คือบริษัท Halcyon Agri Corporation Limited (Singapore) ซึ่งเป็นบริษัท Trader ที่มีความเข้มแข็งทั้ง supply chain และกระจายสินค้าไปทั่วโลกที่ใหญ่ที่สุดของสิงคโปร์ นอกจากนี้บริษัทได้มีการได้เริ่มมีการส่งผลทดสอบและตัวอย่างของยางแท่ง STR20 ไปยังลูกค้าจำนวน 3 รายได้แก่ Continental, Hankok, และ Bridgestone เพื่อการตรวจสอบคุณสมบัติยางเบื้องต้นก่อนที่จะเข้ามาตรวจมาตรฐานการผลิตในโรงงานซึ่งจากสถานการณ์ Covid-19 ยังไม่มีความคืบหน้าในเรื่องของการเปิดประเทศจึงทำให้การเดินทางเพื่อเข้ามา QA ยังไม่สามารถดำเนินการได้ โดยปัจจุบันบริษัทมีการวางแผนขายแบบ Long Term Contract และ Spot Contract อยู่ในสัดส่วน 50:50
พร้อมกันนี้ในปี 2564 บริษัทยังมีแผนการลงทุนเครื่องจักรแผ่นรองพื้นในคอกของปศุสัตว์ที่ได้มีการพัฒนาสูตรร่วมกับ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (มอ.) ประมาณ 240 ล้านบาท โดยจะติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 2/64 และเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงไตรมาส 3/64 ทำให้ปี 2564 จะมีรายได้จากส่วนนี้เข้ามาเสริม ซึ่งสินค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นทุนในระดับสูง ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการจดสิทธิบัตรด้านรูปลักษณ์ ส่วนในเรื่องของประสิทธิภาพเป็นไปตามมาตรฐาน และมีความต้องการจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลประกอบการในปี 63 บริษัทคาดว่ารายได้จะสามารถโตตามเป้าที่วางไว้ที่ 17,000 ล้านบาท จากโรงงานผลิตเดิมและโรงงานแห่งใหม่ สามารถผลิตได้เป็นไปตามแผน อีกทั้งยังมีคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ในประเทศเพิ่มขึ้น จนทำให้ปัจจุบันกำลังการผลิตของบริษัทเกือบเต็ม 100 % แล้ว นอกจากนี้บริษัทยังคาดว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรได้ดีจากการป้องกันความเสี่ยงของราคายางที่ผันผวนด้วยวิธี matching order โดยเมื่อมีคำสั่งซื้อจะสต็อกยางไว้ส่งมอบด้วยราคาที่ตกลงกันในเวลานั้น ไม่ได้เป็นการรับคำสั่งซื้อมาก่อนแล้วค่อยหาสินค้ามาส่งมอบภายหลังซึ่งราคาอาจจะไม่เท่าเดิม