บมจ. ซิงเกิ้ล พอยท์ พาร์ท(ประเทศไทย)(SPPT)มองแนวโน้มการจำหน่ายเครื่องจักรแปรรูปขยะประเภทพลาสติกโพลีเมอร์เป็นน้ำมันดิบมีอนาคตที่ดี โดยขณะนี้ได้รับความสนใจจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)และภาคเอกชน คาดว่าจะช่วยหนุนรายได้ในปี 51 เติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
ส่วนปีนี้มั่นใจรายได้เติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 660 ล้านบาทแม้ภาวะเศรษฐกิจซบเซาส่งผลกระทบต่อรายได้ให้ลดลงในไตรมาส 2/50 ประกอบกับเป็นช่วง Low Season ของการขายฮาร์ดดิสก์ แต่ยังมั่นใจครึ่งปีหลังสถานการณ์จะดีขึ้น อีกทั้งยังเตรียมรับรู้รายได้ 50 ลบ.ช่วง Q3-Q4/50 จากการขายเครื่องจักรราคาพิเศษให้ อบจ. สมุทรปราการและประจวบคีรีขันธ์
นายสืบตระกูล บินเทพ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและผู้อำนวยการฝ่ายปฎิบัติการ SPPT เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ขณะนี้มีผู้ประกอบการด้านพลังงานทดแทน และผู้ที่ได้รับสัมปทานจากภาครัฐในการกำจัดขยะ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทเอกชนจำนวน 2-3 รายสนใจที่จะสั่งซื้อเครื่องจักรแปรรูปขยะพลาสติกโพลีเมอร์เป็นน้ำมันดิบ คาดว่าจะส่งมอบให้ลูกค้าได้ในปีหน้า ซึ่งจะทำให้รายได้ของบริษัทปรับตัวอย่างก้าวกระโดด
ด้านราคาขายเครื่องจักรดังกล่าว ยังอยู่ระหว่างการประเมินทั้งจากต้นทุนและอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากต้องสั่งจากประเทศแถบยุโรป แต่เบื้องต้นคาดว่าจะหน่ายในราคาสูงกว่าราคาที่ขายให้กับ อบจ.สมุทรปราการและประจวบคีรีขันธ์ ที่ได้เซ็นสัญญาไปในปีนี้ เนื่องจากบริษัทขายให้ อบจ.ทั้งสองแห่งในราคาที่มีส่วนลดเหลือเครื่องละ 50 ล้านบาท จากราคาเต็ม 65 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/50 ประมาณ 10 ล้านบาท และส่วนที่เหลือในช่วงไตรมาส 4/50
เหตุที่ขายเครื่องจักรให้ อบจ. 2 จังหวัดนี้ในราคาถูกกว่าปกติ เป็นไปตามแผนนำร่องเพื่อเปิดตลาดเสนอขายเครื่องจักรในท้องถิ่นต่าง ๆ ได้มากขึ้น โดยแนวโน้มของการเปิดตลาดน่าจะไปได้ดี เพราะปัญหาในการกำจัดขยะพลาสติก คือ คนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีและไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีที่สามารถสกัดขยะเหล่านี้เป็นน้ำมันดิบได้ นอกจากนั้น บริษัทยังรับซื้อ 5-7% ของมูลค่าน้ำมันที่สกัดได้ด้วย
ดังนั้นจึงคาดว่าในปีหน้าน่าจะขายเครื่องจักรแปรรูปขยะพลาสติกเป็นน้ำมันดิบได้อย่างน้อย 5 เครื่อง โดยจะขายในราคาปกติ
*ประชุมบอร์ด 11 ส.ค.พิจารณาปันผลคาดลดลงจากปีก่อน
นายสืบตระกูล กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทจะประชุมกันในวันที่ 11 ส.ค.นี้เพื่อพิจารณาจ่ายปันผลระหว่างกาลงวด 6 เดือนแรกของปี 50 คาดว่าจะเป็นอัตราที่ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่จ่าย 0.14 บาท/หุ้น หรือใกล้เคียงกับบทวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ที่คาดไว้ 0.10 บ./หุ้น เนื่องจากในช่วงไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้ลดลง
บริษัทได้รับผลกระทบเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้รายได้ลดลงในไตรมาส 2/50 เช่นเดียวกับที่เกิดกับภาคธุรกิจทั่ว ๆ ไป จากไตรมาส 1/50 มีรายได้ 150 ล้านบาท
แต่ก็เชื่อว่าในปีนี้รายได้ของบริษัทจะยังคงเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 25% จากปีก่อนที่มีรายได้ 660 ล้านบาท เพราะคาดว่าช่วงที่เหลือของปี รายได้น่าจะปรับตัวดีขึ้นจากยอดขายเครื่องจักร 2 ตัวที่จะทยอยรับรู้ในครึ่งหลังของปี ขณะที่ยอดขายฮาร์ดดิสก์ก็น่าจะปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย หรือประมาณ 10% ของรายได้รวม เพราะในช่วงไตรมาส 2/50 เป็นช่วงโลว์ซีซันของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์
นายสืบตระกูล กล่าวว่า ไตรมาส 3 และ 4/50 จะมีรายได้ไตรมาสละประมาณ 160 ล้านบาท จากออเดอร์ว่าจ้างผลิตฮาร์ดดิสก์ของลูกค้าเดิม รวมถึงรายได้ด้านอื่น ๆ
นอกจากนี้ บริษัทจะพยายามลดสัดส่วนยอดขายของสินค้าที่ต้องลงทุนซื้อวัตถุดิบมาผลิตเอง โดยหันไปรับจ้างผลิตแทนเพื่อเป็นการลดต้นทุนจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้น คาดว่าต้นทุนจะปรับลดลง 10% แต่อย่างไรก็ตาม gross profit margin ปีนี้คงจะลดลงเหลือ 20-25% จาก 26-27% ในปีก่อน เนื่องจากราคาวัตถุดิบปรับเพิ่มขึ้น เช่น สแตนเลส และทองเหลือง
ปัจจุบัน บริษัทมีกำลังการผลิตประมาณ 90% ใกล้เต็ม capacity แล้ว โดยได้มีการสั่งซื้อเครื่องจักรเพิ่มประมาณ 25 ตัว คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 71 ล้านบาท จากงบลงทุนทั้งหมดที่ตั้งไว้ 80 ล้านบาท
--อินโฟเควสท์ โดย จริญยา ดำสมาน/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--